จับประเด็นสำคัญ “The Skyrocket Economies” เศรษฐกิจ อินเดีย-เวียดนาม ยังเติบโตแบบติดจรวด ได้อีกแค่ไหน
K WEALTH X ลงทุนแมน
ปฏิเสธไม่ได้ว่าในช่วงที่ผ่านมา อินเดียและเวียดนาม ถือเป็น 2 ประเทศที่นักลงทุนไทยจับตามองเป็นอย่างมาก เพราะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดด
แต่ด้วยข่าวคราวมากมายที่ออกมา ซึ่งก็มีทั้งดีและร้าย ทำให้นักลงทุนหลายคนอาจจะยังมีความกังวล และไม่มั่นใจที่จะลงทุนใน 2 ประเทศนี้
มาฟังคำแนะนำการลงทุนในอินเดียและเวียดนาม กับ คุณมทินา วัชรวราทร, CFA Head of Investment Management Strategy KAsset
ที่จะมาเล่าถึงภาพรวมของทั้ง 2 ประเทศ ทั้งในเรื่องจุดแข็ง และความเสี่ยง ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนทุกคนควรรู้
ลงทุนแมนจะสรุปให้ฟัง
มาฟังคำแนะนำการลงทุนในอินเดียและเวียดนาม กับ คุณมทินา วัชรวราทร, CFA Head of Investment Management Strategy KAsset
ที่จะมาเล่าถึงภาพรวมของทั้ง 2 ประเทศ ทั้งในเรื่องจุดแข็ง และความเสี่ยง ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนทุกคนควรรู้
ลงทุนแมนจะสรุปให้ฟัง
คุณมทินา เริ่มต้นจากการฉายภาพรวมของทั้ง 2 ประเทศ โดยมองว่า ที่ผ่านมาแม้นักลงทุนไทยจำนวนมาก จะทราบว่าทั้งอินเดีย และเวียดนามมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดด แต่ก็ยังไม่กล้าลงทุน เนื่องจากกลัวว่าจะไม่เข้าใจประเทศดีพอ และกลัวความเสี่ยงต่าง ๆ
อย่างไรก็ตาม ในปีหน้านี้ มีการคาดการณ์ว่าอินเดีย และเวียดนามจะเป็น 2 ประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตสูงสุดในเอเชีย ดังนั้น คุณมทินา จึงมองว่าเราควรศึกษา 2 ประเทศนี้ไว้ เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสในการลงทุนครั้งสำคัญในรอบ 10 ปีนี้
โดยสำหรับความน่าสนใจของทั้ง 2 ประเทศ และสิ่งที่หลายคนยังเป็นกังวล คุณมทินา ได้ให้คำตอบแยกเป็นแต่ละประเทศไว้ดังนี้
1. อินเดีย
สำหรับคำถามแรกที่ว่า การกลับมาของโดนัลด์ ทรัมป์ จะเป็นความท้าทายต่ออินเดียอย่างไรบ้าง ?
- อินเดียเป็นเพียงไม่กี่ประเทศในเอเชียที่มีความ ยืดหยุ่น ทำให้รอดจากปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจของอินเดียเน้นพึ่งพาการผลิต และการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก ไม่ได้พึ่งพาการค้าการส่งออกมากเท่าไร ทำให้ได้รับผลกระทบจากปัญหาภายนอกไม่มากนัก
- ความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียกับสหรัฐฯ เป็นเหมือนน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า เนื่องจากอินเดียมีการส่งออกบริการไปซัพพอร์ตธุรกิจขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ในขณะที่สหรัฐฯ เอง ก็มีอินเดียเป็นตลาดส่งออกสินค้าเกษตรขนาดใหญ่
- เชื่อว่าอินเดียจะสามารถวางตัวเป็นกลางต่อไปได้ เป็นพันธมิตรที่ดีสำหรับสหรัฐฯ และสหรัฐฯ เองก็จะเห็นอินเดียเป็นพันธมิตรเช่นกัน
สำหรับคำถามถัดมาที่ว่า ตัวเลขเศรษฐกิจของอินเดียที่เริ่มโตต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ เป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงอะไรหรือไม่ ?
- ตัวเลขเศรษฐกิจของอินเดียที่ชะลอตัวลง เป็นผลมาจากการที่รัฐบาลชะลอการใช้จ่าย ซึ่งเป็นปกติสำหรับปีที่มีการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตามปัจจัยพื้นฐานต่าง ๆ ของอินเดีย เช่น เรื่องโครงสร้างประชากร ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
- นโยบายการคลังที่กำลังชะลอการใช้จ่าย และนโยบายการเงินที่ยังคงไม่ลดดอกเบี้ยเนื่องจากกลัวการเกิดเงินเฟ้อ ถึงแม้ทั้ง 2 ปัจจัยจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เศรษฐกิจภายในของอินเดียตกอยู่ในภาวะตึงตัว แต่ก็ถือเป็นเรื่องที่ดี ที่รัฐบาลมีความตั้งใจที่จะไม่ใช้จ่ายเกินตัว และธนาคารกลางไม่ปล่อยให้เกิดเงินเฟ้อ เพราะจะเป็นสิ่งที่ช่วยสนับสนุนการเติบโตในระยะยาว
สำหรับคำถามถัดมาที่ว่า เศรษฐกิจอินเดีย จะเป็นอย่างไรในอีก 5 ปีข้างหน้า ?
- การเติบโตของอินเดียไม่มีอะไรที่น่ากังวล เพราะอินเดียเป็นประเทศที่มีพื้นฐานแน่นทั้งในเรื่องของ เทคโนโลยี บุคลากร และเงินทุน และอินเดียเองก็ยังสามารถเติบโตได้อีกมาก จากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การปฏิรูปกฎหมายที่ดิน รวมถึงการปฏิรูปกฎหมายแรงงาน เพื่อดึงดูด การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ
และคำถามสุดท้าย คือเรื่องของคำแนะนำในการลงทุนในอินเดีย
- คุณมทินา ได้ให้คำแนะนำไว้ว่า การไม่ศึกษาอินเดีย อาจทำให้เราพลาดโอกาสการลงทุนในรอบ 10 ปี เนื่องจากในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา บริษัทจดทะเบียนของอินเดียมีการเติบโตของผลกำไรถึงปีละ 9% โดยเฉลี่ย และสร้างผลตอบแทนให้แก่นักลงทุนมากถึง 13% ต่อปี
- อย่างไรก็ตาม ในการลงทุน นักลงทุนควรมองหาจุดเข้าซื้อที่ดี รอระดับ Valuation ที่เหมาะสม เพราะถึงแม้ตลาดหุ้นอินเดียจะแพงมาตลอด แต่ก็ไม่เคยแพงเท่านี้ ถ้าอยากมีไว้ในพอร์ต สามารถมีได้ที่ 5% ของพอร์ต
- สำหรับนักลงทุนไทย การลงทุนในหุ้นอินเดียรายตัวยังสามารถทำได้ยาก โดยเฉพาะการเปิดบัญชี ดังนั้นจึงสามารถซื้อผ่านกองทุนไปก่อนได้ โดยอย่าง KAsset เองก็มีกองทุน K-INDIA ซึ่งมีการลงทุนในบริษัททุกขนาด ทั้งเล็ก กลาง ใหญ่ ล้อไปกับการเติบโตของเศรษฐกิจ และบริษัทของอินเดีย โดยกองทุนนี้ก็มีให้เลือกทั้งแบบ SSF และ RMF
2. เวียดนาม
สำหรับคำถามแรกที่ว่า นโยบายหลักของโดนัลด์ ทรัมป์ที่เป็นการเพิ่มความตึงเครียดของ Trade War กับประเทศจีน จะทำให้เวียดนามได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง ?
คุณมทินา มองว่าจะทำให้ตลาดหุ้นเวียดนามผันผวนระยะสั้น ซึ่งจะทำให้เกิดจุดเข้าซื้อที่ดี โดยผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเวียดนามแบ่งออกได้เป็น 3 กรณี ดังนี้
1. ถ้าโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน 60% และประเทศอื่น 10%
กรณีนี้จะทำให้การส่งออกของเวียดนามจะได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
กรณีนี้จะทำให้การส่งออกของเวียดนามจะได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
2. ถ้าโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน 60% และไม่ได้ขึ้นภาษีประเทศอื่น
กรณีนี้จะทำให้การส่งออกของเวียดนามกลับมามีอัตราการเติบโตได้แบบสองหลัก ถือเป็นกรณีที่ดีที่สุดสำหรับเวียดนาม แต่โอกาสที่จะเกิดกรณีนี้ก็มีน้อย
กรณีนี้จะทำให้การส่งออกของเวียดนามกลับมามีอัตราการเติบโตได้แบบสองหลัก ถือเป็นกรณีที่ดีที่สุดสำหรับเวียดนาม แต่โอกาสที่จะเกิดกรณีนี้ก็มีน้อย
3. ถ้าโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นภาษีกับสินค้าที่ผลิตจากจีน แต่ใช้เวียดนามเป็นทางผ่านสินค้า คือมาเพิ่มมูลค่าและส่งออกที่เวียดนาม
กรณีนี้จะทำให้การส่งออกของเวียดนามอาจโตได้ไม่ถึง 5%
กรณีนี้จะทำให้การส่งออกของเวียดนามอาจโตได้ไม่ถึง 5%
โดยทั้ง 3 กรณีเป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องจับตามอง และติดตามว่าเหตุการณ์จะออกมาเป็นแบบไหน
สำหรับคำถามถัดมาเกี่ยวกับเรื่องปัญหาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ของเวียดนามที่ทำให้นักลงทุนหลายคนกังวล
- ตอนนี้รัฐบาลเวียดนามรับรู้ถึงปัญหาเหล่านี้แล้ว และกำลังมีการลงทุนเพิ่มเติม เพื่อแก้ไขปัญหาโครงสร้างพื้นฐานที่เกิดขึ้น เช่น ปัญหาไฟฟ้าดับ ที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติไม่กล้าไปลงทุนในเวียดนาม
- ในช่วงที่ผ่านมาเวียดนามมีการปราบปรามคอร์รัปชัน จึงทำให้โครงการต่าง ๆ ถูกตรวจสอบ และเกิดความล่าช้า อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้เวียดนามได้ประธานาธิบดีคนใหม่ที่ถนัดในเรื่องธุรกิจ จึงมีความเป็นไปได้ว่าโครงการต่าง ๆ จะดำเนินงานได้เร็วขึ้น
และคำถามสุดท้าย คือเรื่องของคำแนะนำในการลงทุนในเวียดนาม
- เศรษฐกิจของเวียดนามยังมีโอกาสที่จะเติบโตได้อีกมาก รวมถึง EPS Growth ก็เช่นกัน ซึ่งอย่างในปีที่ผ่านมาก็โตได้มากถึง 15%
- เศรษฐกิจของเวียดนามยังมีโอกาสที่จะเติบโตได้อีกมาก รวมถึง EPS Growth ก็เช่นกัน ซึ่งอย่างในปีที่ผ่านมาก็โตได้มากถึง 15%
- ถึงแม้ในระยะสั้นเวียดนามมีความเสี่ยงจากนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ที่ยังไม่รู้ว่าจะออกมาเป็นสถานการณ์ไหน แต่ในระยะยาว เวียดนามยังมีจุดแข็ง จากการมีประชากรในวัยแรงงานเป็นจำนวนมาก ทำให้สามารถพัฒนาทักษะแรงงาน เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ให้กับประเทศ และเป็นฐานการผลิตที่ทันสมัยขึ้นได้
- เนื่องจากในปีหน้าเวียดนามมีโอกาสที่จะเจอกับความผันผวนที่มากขึ้น ดังนั้นเราสามารถลดสัดส่วนการลงทุนเวียดนามในพอร์ตได้ และรอกลับเข้าซื้ออีกครั้งในจังหวะที่เหมาะสม โดยสามารถมีได้ที่ 5% ของพอร์ต
- สำหรับ KAsset เองก็มีกองทุน K-VIETNAM ที่ลงทุนในหุ้นเวียดนามชั้นนำที่มีศักยภาพการเติบโตสูง โดยมีให้เลือกทั้งแบบ SSF และ RMF
จากทั้งหมดที่กล่าวมา เชื่อว่าคำตอบของคุณมทินา จะทำให้นักลงทุนเห็นภาพของอินเดีย และเวียดนามมากขึ้น อีกทั้งน่าจะช่วยคลายความกังวลให้กับนักลงทุนหลายคน ที่อาจจะยังคงลังเล และไม่มั่นใจในการลงทุนใน 2 ประเทศนี้
ซึ่งการได้รู้จัก เข้าใจในอินเดีย และเวียดนามมากขึ้นนี้เอง ที่อาจทำให้เราไม่ต้องพลาดโอกาสในการลงทุนครั้งสำคัญในรอบ 10 ปี กับ 2 ประเทศที่กำลังได้รับการขนานนามว่าเป็น เสือหนุ่มแห่งเอเชีย…
สามารถรับชมรายการ TALK ลงทุนแมน เศรษฐกิจ อินเดีย-เวียดนาม ยังเติบโตแบบติดจรวด ได้อีกแค่ไหน ได้ที่ลิงก์ https://youtu.be/HUzAW98O9hM
Tag: K WEALTH