จับประเด็นสำคัญ ปีนี้ ทอง ตลาดหุ้น บิตคอยน์ ALL-TIME-HIGH แล้วเราจะลงทุนอะไรได้บ้าง ?
K WEALTH X ลงทุนแมน
ตามสถิติที่ผ่านมา ราคาของสินทรัพย์กลุ่ม Safe Haven อย่างทองคำ มักมีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงกันข้าม หรือวิ่งสวนทาง กับสินทรัพย์เสี่ยง อย่างตลาดหุ้น
ตามสถิติที่ผ่านมา ราคาของสินทรัพย์กลุ่ม Safe Haven อย่างทองคำ มักมีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงกันข้าม หรือวิ่งสวนทาง กับสินทรัพย์เสี่ยง อย่างตลาดหุ้น
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในปีนี้ก็คือราคาของทั้งทองคำ ตลาดหุ้น รวมไปถึงสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างบิตคอยน์ ต่างไปในทางเดียวกัน และทำ ALL-TIME-HIGH
เรียกได้ว่าฉีกตำราการเงินที่หลายคนคุ้นเคย เกิดอะไรขึ้น ? แล้วเราจะลงทุนอะไรได้บ้าง ?
เรียกได้ว่าฉีกตำราการเงินที่หลายคนคุ้นเคย เกิดอะไรขึ้น ? แล้วเราจะลงทุนอะไรได้บ้าง ?
มาสำรวจเรื่องนี้ ผ่าน 2 มุมมอง จากทั้งเลนส์นักเศรษฐศาสตร์อย่าง คุณบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด
และผ่านเลนส์นักลงทุนอย่าง คุณทิวา ชินธาดาพงศ์ นายกสมาคมนักลงทุนประเทศไทย และนักลงทุนเน้นคุณค่า
ลงทุนแมนจะสรุปให้ฟัง
คุณบุรินทร์ อดุลวัฒนะ เล่าว่า ตอนนี้คือ Post Election Rally ซึ่งเป็นแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยสาเหตุที่ทั้ง 3 สินทรัพย์ ATH (ALL-TIME-HIGH) พร้อมกัน เกิดจากปัจจัยสนับสนุนเฉพาะตัวของแต่ละสินทรัพย์ โดยมีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้
- ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้รับอานิสงส์จากชัยชนะของดอนัลด์ ทรัมป์ ที่คาดว่าจะออกนโยบายที่ส่งผลดีต่อธุรกิจอเมริกัน ทั้งขนาดเล็ก และใหญ่ เช่น นโยบายลดภาษีบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล รวมถึงการลดหย่อนข้อบังคับที่ยุ่งยากซับซ้อน แต่ช่วง 2 เดือนก่อนที่จะถึงวันรับตำแหน่งประธานาธิบดี ก็ยังมีความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่ต้องติดตาม
- หนึ่งในอุตสาหกรรมที่จะได้รับประโยชน์คือ กลุ่มอาวุธยุทโธปกรณ์ เพราะทรัมป์จะหยุดความช่วยเหลือด้านสงคราม และให้แต่ละประเทศดูแลตัวเอง ซึ่งจะส่งผลให้หลายประเทศต้องซื้ออาวุธของสหรัฐอเมริกา นำไปสู่การจ้างงาน และเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้น
- ส่วนผู้สนับสนุนหลักของทรัมป์อย่าง อีลอน มัสก์ อาจได้ประโยชน์จากรัฐบาลของทรัมป์ในธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า Tesla และธุรกิจด้านการบินและอวกาศ SpaceX
- หุ้น 7 นางฟ้าสหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่จะถูกออกกฎระเบียบเพิ่มเติม เพราะหลายบริษัทไม่สนับสนุนทรัมป์ตอนเลือกตั้ง เช่น Alphabet ที่ลงข่าวไม่ดีเกี่ยวกับทรัมป์ หรือ Meta ที่ปิดกั้นการมองเห็นของสื่อที่สนับสนุน
- ประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ เช่น เยอรมนี เวียดนาม รวมถึงไทย อาจจะมีประเด็นที่ต้องระวัง เพราะประเทศเหล่านี้อาจจะถูกบังคับให้ซื้อสินค้ากับสหรัฐฯ มากขึ้น เช่น อาวุธ เรือดำน้ำ หรืออาจจะเป็นเครื่องบิน Boeing
- ในทางกลับกัน ประเทศจีนอาจไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะปรับตัวเพื่อรับมือเรื่อง Trade War มาตลอดหลายปี และหลายบริษัททำธุรกิจในประเทศสหรัฐฯ เข้ามาแทรกแซงไม่ได้ เช่น การใช้ AI ของ Baidu ในการช่วยวางผังเมืองของภาครัฐจีน
- หลายครั้งนโยบายและคำมั่นสัญญาของทรัมป์ก็ดูขัดกันเอง เช่น นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่ขัดกับธุรกิจของอีลอน มัสก์ หรือความต้องการให้เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง แต่ก็ต้องการเพิ่มภาษีนำเข้า
- ส่วนราคาทองคำที่ ATH เป็นผลสืบเนื่องจาก Geopolitics ทำให้ผู้คนและธนาคารกลางทั่วโลก ลดการถือเงินดอลลาร์สหรัฐ แล้วหันมาถือทองคำที่เป็นสินทรัพย์กลุ่ม Safe Haven มากขึ้น รวมถึงเรื่อง Gold Supply ก็มีจำกัด
- ในขณะที่การเพิ่มขึ้นของราคา Bitcoin ก็ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากผลการเลือกตั้งเช่นเดียวกัน จากท่าทีที่เป็นมิตรต่อสินทรัพย์ดิจิทัลของทั้งทรัมป์ และอีลอน มัสก์
- คำแนะนำสำหรับผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการนำเข้าและส่งออกก็คือ ให้ Hedge ค่าเงินหรือป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน โดยการติดตามข่าวสารที่เกิดขึ้นปรึกษาผู้รู้ และไม่อยากให้ดูกราฟเป็นหลัก
ทีนี้ลองมาจับประเด็นสำคัญของ คุณทิวา ชินธาดาพงศ์ ในเรื่องนี้ ผ่านมุมมองของนักลงทุน ดังนี้
- ชัยชนะของทรัมป์สร้างความหวังการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯมาก นโยบายต่าง ๆ ทั้งเรื่องการลดภาษี การกีดกันต่างชาติ การผ่อนปรนกฎเกณฑ์ และท่าทีผ่อนคลายการปล่อยเงินกู้ของธนาคาร ส่งผลดีต่อบริษัทขนาดเล็กในสหรัฐอเมริกาแน่นอน
- แต่ก็มีปัจจัยกดดันคือเรื่อง Valuation ที่ค่อนข้างแพง ขณะที่ ข้อมูลจาก Goldman Sachs บอกว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา S&P 500 ให้ผลตอบแทนทบต้นอยู่ที่ 13% แต่คาดว่าอีก 10 ปีข้างหน้า ผลตอบแทนจะอยู่ที่เพียง 3% และมีแนวโน้มที่ผลตอบแทนจะต่ำกว่าพันธบัตร
- แม้บริษัทเทคโนโลยีจะดูน่าสนใจ แต่ก็ต้องพิจารณาทั้ง Valuation และ Cycle ของตลาดด้วยว่า ตอนนี้เป็น Bull Market หรือ Bear Market เพราะตามธรรมชาติของธุรกิจ ถึงเวลาก็จะปรับฐานราคาลงมา ซึ่งอาจจะเหมาะกับการเก็งกำไรระยะสั้นมากกว่าการลงทุนระยะยาว
- ส่วนผลกระทบต่อจีน มองว่าเป็นไปได้ยากที่สหรัฐอเมริกาจะหาสินค้ามาทดแทนของจีนได้หมดทุกอย่าง สุดท้ายแล้วก็คงต้องพึ่งพากันอยู่ดี แต่ก็มีบางธุรกิจที่อาจได้รับผลกระทบ คือ ผู้ผลิตชิปและรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงท่าทีสนับสนุนโรโบแท็กซี่ของทรัมป์ ที่อาจส่งผลกระทบต่อบริษัทเทคโนโลยีจีน
- แต่ก็มีอุตสาหกรรมที่สหรัฐอเมริกาเข้ามาแทรกแซงไม่ได้เช่นกัน อย่างธุรกิจท่องเที่ยว เช่น Trip.com
- ส่วนทองคำ เกิดจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากการสร้างและส่งต่อความมั่งคั่งของคนรุ่นเก่า และ Family Business รวมถึงหลายประเทศที่ลดการถือพันธบัตรสหรัฐฯ จากความไม่แน่นอนหลายอย่าง เลยเปลี่ยนจากการถือดอลลาร์สหรัฐ มาถือทองแทน แม้ไม่ใช่สินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนสูง แต่ก็ดูมีความแน่นอนกว่า
- Bitcoin อาจจะยังไม่เท่ากับ Digital Gold เพราะคาแรกเตอร์ไม่เหมือนกัน ความผันผวนก็ต่างกันมาก แต่เรื่องแบบนี้ก็ขึ้นอยู่กับจำนวนคนที่เชื่อมั่น โดยทั้งทรัมป์และอีลอน มัสก์ ก็อาจจะช่วยเรียกความเชื่อมั่นเพิ่ม
- สิ่งที่นักลงทุนทำได้ก็คือ ติดตามและประเมินสถานการณ์อยู่เรื่อย ๆ แต่ก็เชื่อว่า ไม่ว่าเศรษฐกิจและภาพ Macro ของแต่ละประเทศจะเป็นอย่างไร ถ้าธุรกิจดี ก็จะสามารถเติบโตได้เหนือตลาดกลายเป็นหุ้นหลายเด้งแน่นอน
สามารถรับชมรายการ TALK ลงทุนแมน ปีนี้ ทอง ตลาดหุ้น บิตคอยน์ ALL-TIME-HIGH แล้วเราจะลงทุนอะไรได้บ้าง ? ได้ที่ลิงก์ https://youtu.be/2U_HRPKymEM
และผ่านเลนส์นักลงทุนอย่าง คุณทิวา ชินธาดาพงศ์ นายกสมาคมนักลงทุนประเทศไทย และนักลงทุนเน้นคุณค่า
ลงทุนแมนจะสรุปให้ฟัง
คุณบุรินทร์ อดุลวัฒนะ เล่าว่า ตอนนี้คือ Post Election Rally ซึ่งเป็นแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยสาเหตุที่ทั้ง 3 สินทรัพย์ ATH (ALL-TIME-HIGH) พร้อมกัน เกิดจากปัจจัยสนับสนุนเฉพาะตัวของแต่ละสินทรัพย์ โดยมีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้
- ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้รับอานิสงส์จากชัยชนะของดอนัลด์ ทรัมป์ ที่คาดว่าจะออกนโยบายที่ส่งผลดีต่อธุรกิจอเมริกัน ทั้งขนาดเล็ก และใหญ่ เช่น นโยบายลดภาษีบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล รวมถึงการลดหย่อนข้อบังคับที่ยุ่งยากซับซ้อน แต่ช่วง 2 เดือนก่อนที่จะถึงวันรับตำแหน่งประธานาธิบดี ก็ยังมีความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่ต้องติดตาม
- หนึ่งในอุตสาหกรรมที่จะได้รับประโยชน์คือ กลุ่มอาวุธยุทโธปกรณ์ เพราะทรัมป์จะหยุดความช่วยเหลือด้านสงคราม และให้แต่ละประเทศดูแลตัวเอง ซึ่งจะส่งผลให้หลายประเทศต้องซื้ออาวุธของสหรัฐอเมริกา นำไปสู่การจ้างงาน และเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้น
- ส่วนผู้สนับสนุนหลักของทรัมป์อย่าง อีลอน มัสก์ อาจได้ประโยชน์จากรัฐบาลของทรัมป์ในธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า Tesla และธุรกิจด้านการบินและอวกาศ SpaceX
- หุ้น 7 นางฟ้าสหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่จะถูกออกกฎระเบียบเพิ่มเติม เพราะหลายบริษัทไม่สนับสนุนทรัมป์ตอนเลือกตั้ง เช่น Alphabet ที่ลงข่าวไม่ดีเกี่ยวกับทรัมป์ หรือ Meta ที่ปิดกั้นการมองเห็นของสื่อที่สนับสนุน
- ประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ เช่น เยอรมนี เวียดนาม รวมถึงไทย อาจจะมีประเด็นที่ต้องระวัง เพราะประเทศเหล่านี้อาจจะถูกบังคับให้ซื้อสินค้ากับสหรัฐฯ มากขึ้น เช่น อาวุธ เรือดำน้ำ หรืออาจจะเป็นเครื่องบิน Boeing
- ในทางกลับกัน ประเทศจีนอาจไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะปรับตัวเพื่อรับมือเรื่อง Trade War มาตลอดหลายปี และหลายบริษัททำธุรกิจในประเทศสหรัฐฯ เข้ามาแทรกแซงไม่ได้ เช่น การใช้ AI ของ Baidu ในการช่วยวางผังเมืองของภาครัฐจีน
- หลายครั้งนโยบายและคำมั่นสัญญาของทรัมป์ก็ดูขัดกันเอง เช่น นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่ขัดกับธุรกิจของอีลอน มัสก์ หรือความต้องการให้เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง แต่ก็ต้องการเพิ่มภาษีนำเข้า
- ส่วนราคาทองคำที่ ATH เป็นผลสืบเนื่องจาก Geopolitics ทำให้ผู้คนและธนาคารกลางทั่วโลก ลดการถือเงินดอลลาร์สหรัฐ แล้วหันมาถือทองคำที่เป็นสินทรัพย์กลุ่ม Safe Haven มากขึ้น รวมถึงเรื่อง Gold Supply ก็มีจำกัด
- ในขณะที่การเพิ่มขึ้นของราคา Bitcoin ก็ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากผลการเลือกตั้งเช่นเดียวกัน จากท่าทีที่เป็นมิตรต่อสินทรัพย์ดิจิทัลของทั้งทรัมป์ และอีลอน มัสก์
- คำแนะนำสำหรับผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการนำเข้าและส่งออกก็คือ ให้ Hedge ค่าเงินหรือป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน โดยการติดตามข่าวสารที่เกิดขึ้นปรึกษาผู้รู้ และไม่อยากให้ดูกราฟเป็นหลัก
ทีนี้ลองมาจับประเด็นสำคัญของ คุณทิวา ชินธาดาพงศ์ ในเรื่องนี้ ผ่านมุมมองของนักลงทุน ดังนี้
- ชัยชนะของทรัมป์สร้างความหวังการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯมาก นโยบายต่าง ๆ ทั้งเรื่องการลดภาษี การกีดกันต่างชาติ การผ่อนปรนกฎเกณฑ์ และท่าทีผ่อนคลายการปล่อยเงินกู้ของธนาคาร ส่งผลดีต่อบริษัทขนาดเล็กในสหรัฐอเมริกาแน่นอน
- แต่ก็มีปัจจัยกดดันคือเรื่อง Valuation ที่ค่อนข้างแพง ขณะที่ ข้อมูลจาก Goldman Sachs บอกว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา S&P 500 ให้ผลตอบแทนทบต้นอยู่ที่ 13% แต่คาดว่าอีก 10 ปีข้างหน้า ผลตอบแทนจะอยู่ที่เพียง 3% และมีแนวโน้มที่ผลตอบแทนจะต่ำกว่าพันธบัตร
- แม้บริษัทเทคโนโลยีจะดูน่าสนใจ แต่ก็ต้องพิจารณาทั้ง Valuation และ Cycle ของตลาดด้วยว่า ตอนนี้เป็น Bull Market หรือ Bear Market เพราะตามธรรมชาติของธุรกิจ ถึงเวลาก็จะปรับฐานราคาลงมา ซึ่งอาจจะเหมาะกับการเก็งกำไรระยะสั้นมากกว่าการลงทุนระยะยาว
- ส่วนผลกระทบต่อจีน มองว่าเป็นไปได้ยากที่สหรัฐอเมริกาจะหาสินค้ามาทดแทนของจีนได้หมดทุกอย่าง สุดท้ายแล้วก็คงต้องพึ่งพากันอยู่ดี แต่ก็มีบางธุรกิจที่อาจได้รับผลกระทบ คือ ผู้ผลิตชิปและรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงท่าทีสนับสนุนโรโบแท็กซี่ของทรัมป์ ที่อาจส่งผลกระทบต่อบริษัทเทคโนโลยีจีน
- แต่ก็มีอุตสาหกรรมที่สหรัฐอเมริกาเข้ามาแทรกแซงไม่ได้เช่นกัน อย่างธุรกิจท่องเที่ยว เช่น Trip.com
- ส่วนทองคำ เกิดจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากการสร้างและส่งต่อความมั่งคั่งของคนรุ่นเก่า และ Family Business รวมถึงหลายประเทศที่ลดการถือพันธบัตรสหรัฐฯ จากความไม่แน่นอนหลายอย่าง เลยเปลี่ยนจากการถือดอลลาร์สหรัฐ มาถือทองแทน แม้ไม่ใช่สินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนสูง แต่ก็ดูมีความแน่นอนกว่า
- Bitcoin อาจจะยังไม่เท่ากับ Digital Gold เพราะคาแรกเตอร์ไม่เหมือนกัน ความผันผวนก็ต่างกันมาก แต่เรื่องแบบนี้ก็ขึ้นอยู่กับจำนวนคนที่เชื่อมั่น โดยทั้งทรัมป์และอีลอน มัสก์ ก็อาจจะช่วยเรียกความเชื่อมั่นเพิ่ม
- สิ่งที่นักลงทุนทำได้ก็คือ ติดตามและประเมินสถานการณ์อยู่เรื่อย ๆ แต่ก็เชื่อว่า ไม่ว่าเศรษฐกิจและภาพ Macro ของแต่ละประเทศจะเป็นอย่างไร ถ้าธุรกิจดี ก็จะสามารถเติบโตได้เหนือตลาดกลายเป็นหุ้นหลายเด้งแน่นอน
สามารถรับชมรายการ TALK ลงทุนแมน ปีนี้ ทอง ตลาดหุ้น บิตคอยน์ ALL-TIME-HIGH แล้วเราจะลงทุนอะไรได้บ้าง ? ได้ที่ลิงก์ https://youtu.be/2U_HRPKymEM
Tag: K WEALTH