จับประเด็นสำคัญ Asset Allocation โอกาสสร้างผลตอบแทน แต่ละสินทรัพย์ ปรับทัพอย่างไรดี ?
K WEALTH X ลงทุนแมน
ท่ามกลางความผันผวนของตลาดการเงินทั่วโลก การจัดสรรการลงทุนในสินทรัพย์ (Asset Allocation) คือหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญสำหรับนักลงทุนที่ต้องการสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
ยิ่งในโลกการลงทุนปัจจุบัน ที่นักลงทุนมีโอกาสสร้างผลตอบแทนในหลากหลายสินทรัพย์ ตั้งแต่หุ้น ตราสารหนี้ ไปจนถึงสินทรัพย์ทางเลือกต่าง ๆ คำถามสำคัญก็คือ เราควรทำ Asset Allocation อย่างไร ?
มาฟังคำแนะนำการทำ Asset Allocation ปรับทัพทั้งพอร์ตการลงทุนหลัก และพอร์ตลดหย่อนภาษี
กับผู้เชี่ยวชาญอย่าง คุณวีระพล บดีรัฐ First Senior Vice President จาก KBank
ลงทุนแมนจะสรุปให้ฟัง
กับผู้เชี่ยวชาญอย่าง คุณวีระพล บดีรัฐ First Senior Vice President จาก KBank
ลงทุนแมนจะสรุปให้ฟัง
คุณวีระพล แนะนำให้นักลงทุนควรมี “กุญแจ 3 ดอก” เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีสม่ำเสมอในระยะยาว
- กุญแจดอกที่ 1 คือ การตั้งเป้าหมายการลงทุน ว่าลงทุนไปเพื่ออะไร ระยะเวลาเท่าไร และเป้าหมายดังกล่าวมีความสำคัญกับชีวิตแค่ไหน เช่น อยากเกษียณในอีก 20 ปีข้างหน้า ก็สามารถมีสัดส่วนสินทรัพย์เสี่ยงได้มากกว่าคนที่อยากลงทุนแล้วนอนหลับสบาย
- กุญแจดอกที่ 2 คือ การกระจายการลงทุน เพราะการลงทุนแค่สินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง อาจจะได้ผลตอบแทนสูงก็จริง แต่โอกาสสำเร็จน้อยกว่า และใช้พลังงานสูง อย่างคนที่ชอบลงทุนในหุ้น ก็แนะนำให้กระจายการลงทุนในหลายอุตสาหกรรม
- กุญแจดอกที่ 3 คือ วินัยในการลงทุน ซึ่งก็คือความสม่ำเสมอ เช่น ถ้าเกิดราคาหุ้นขึ้นหรือลงตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เราจะทำอย่างไร รวมถึงการเอาเงินปันผลมาลงทุนซ้ำ และการ DCA ทุกเดือน
- ตอนนี้สิ่งที่ทุกสถาบันการเงิน รวมถึงเครือกสิกรไทยมี คือตัวเลือกการลงทุนที่หลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม เช่น บัญชีเงินฝากประจำนิติบุคคลสำหรับผู้ประกอบการ หุ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ กองทุนรวมทั่วไป Open Architecture (OA) ไปจนถึงสินทรัพย์ดิจิทัล
- แต่คุณวีระพลมองว่าอีกเรื่องที่สำคัญก็คือ “การให้ความรู้การลงทุน” แก่นักลงทุน เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนได้เรียนรู้ และพัฒนาต่อยอดไปเรื่อย ๆ เพราะตอนนี้คนส่วนใหญ่มองว่าสินทรัพย์อื่นนอกเหนือจากบัญชีเงินฝาก เช่น หุ้นและกองทุนรวม อาจจะดูยากและซับซ้อนเกินไป
- คำแนะนำสำหรับการทำ Asset Allocation คือ กลยุทธ์ Core & Satellite ที่นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้เองตามเป้าหมายและความเสี่ยงที่ยอมรับได้
- สัดส่วนเบื้องต้นคือ แบ่งลงทุนใน Core Port 70% และ Satellite Port 30%
- Core Port คือ การลงทุนระยะยาว 3-5 ปี แนะนำให้มีหุ้นทั่วโลก ทั้ง DM และ EM รวมถึงตราสารหนี้ ส่วนคนที่ไม่อยากหรือไม่มีเวลาเลือกเอง แนะนำให้ลงทุนในกองทุนรวมผสมที่ลงทุนทั่วโลก
- Satellite Port คือ การลงทุนระยะสั้น 3-6 เดือน หมุนตามจังหวะ และขยับเมื่อเหมาะสม ตามเศรษฐกิจหรือธีมการลงทุนไหนที่น่าสนใจในช่วงนั้น ๆ เช่น กลุ่ม Magnificent 7
- สำหรับคนที่อยากรู้ว่าตัวเองเหมาะกับการลงทุนหุ้นเอง หรือกองทุนรวมมากกว่า คำถามที่ต้องถามตัวเองก็คือ เรามี 1. เวลา และ 2. วิชา หรือไม่ ?
- การลงทุนเองในหุ้นรายตัว เหมาะสำหรับคนที่มีทั้งวิชา และเวลา เพราะการลงทุนเองต้องใช้เวลา และถ้าต้องการผลตอบแทนที่ดี การมีความรู้มาก ๆ ก็จำเป็น รวมถึงเหมาะกับคนที่สบายใจที่จะกำไรและขาดทุนด้วยตัวเอง
- ส่วนการลงทุนในกองทุนรวม เหมาะกับคนที่ไม่ค่อยมีเวลา หรือวิชามากนัก รวมถึงคนที่มีสิ่งอื่นที่ชอบมากกว่าการลงทุน ก็แนะนำให้สะสมความมั่งคั่งผ่านการลงทุนในกองทุนรวมอาจจะเหมาะสมกว่า
- แต่ไม่ว่าจะเลือกลงทุนแบบไหน ก็ควรทำ Asset Allocation หรือคนที่ลงทุนเอง ถ้ามีบางอุตสาหกรรมที่ไม่ถนัดหรือไม่คุ้นเคย ก็สามารถกระจายสินทรัพย์ที่ไม่ถนัดไปลงทุนผ่านกองทุนรวมได้
- แนะนำให้ ศึกษาหาความรู้และเริ่มต้นลงทุนไปพร้อม ๆ กัน เพราะมักจะมีคน 2 แบบที่สุดโต่ง คือ คนที่ลงทุนเลยทั้งที่ยังไม่มีความรู้ กับคนที่รอให้มีความรู้มากพอแล้วค่อยลงทุน
- ตัวอย่าง พอร์ตการลงทุนในกองทุนรวมสำหรับคนที่อยากได้ผลตอบแทนประมาณ 7% ต่อปี แล้วต้องการเงินเพิ่มเท่าหนึ่ง ตาม The Rule of 72 ก็คือใช้เวลาประมาณ 10 ปี แนะนำจัดพอร์ตการลงทุนแบบ Core and Satellite ตามนี้
- Core Port แนะนำ กองทุนรวมผสม K-WPULTIMATE
- Satellite Port แนะนำ ทั้งการลงทุนในตราสารหนี้ รวมถึงภูมิภาค และธีมการลงทุนที่น่าสนใจ ได้แก่
- กองทุนตราสารหนี้ระยะยาว K-FIXEDPLUS-A ที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง
- กองทุนตามภูมิภาค เช่น K-VIETNAM ที่ลงทุนในหุ้นเวียดนาม หรือ K-USA-A(A) ที่เลือกลงทุนใน 3 อุตสาหกรรมที่คาดว่าน่าจะได้ประโยชน์ในยุคดอนัลด์ ทรัมป์ ทั้งธุรกิจการเงิน พลังงาน และอุตสาหกรรม
- กองทุนตามธีมที่น่าสนใจ เช่น K-GINFRA-A(D) ที่ลงทุนในหุ้นโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก หรือ K-GHEALTH ที่เน้นลงทุนกลุ่ม Healthcare ทั่วโลก หรือถ้าเลือกไม่ถูกก็แนะนำ K-HIT ที่ลงทุนหุ้น Megatrends รวมถึงแนะนำการแบ่งลงทุนในทองคำ อย่าง K-GOLD-A(A)
- โดยผลตอบแทนของพอร์ตข้างต้น หากลงทุนมาตั้งแต่ต้นปี จะอยู่ที่ประมาณ 9%* ซึ่งในระยะยาวมีความเป็นไปได้ที่จะได้ผลตอบแทนที่ต้องการที่ 7% ต่อปี ตาม The Rule of 72
- ส่วนเหตุผลที่ไม่มีหุ้นไทยเลย เพราะ K-WPULTIMATE มีการลงทุนอยู่ในหุ้นไทยอยู่แล้วประมาณ 7% ซึ่งคุณวีระพลแนะนำสัดส่วนหุ้นไทยในพอร์ตที่ 5-10%
- มุมมองต่อหุ้นไทยตอนนี้คือ แม้แนวโน้มค่าเงินที่อ่อนค่าลงช่วงปลายปีจะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นไทย แต่ยังไม่เห็นปัจจัยบวกในระยะสั้นและกลาง ซึ่งอาจจะต้องรอดูนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล รวมถึงติดตามนโยบายของทรัมป์ที่อาจส่งผลกระทบต่อทั้งจีนและไทย
- ส่วนการจัดพอร์ตสำหรับการลดหย่อนภาษีช่วงปลายปีนี้ แนะนำให้ใช้กลยุทธ์ Core & Satellite เช่นเดียวกัน โดยกองทุนที่กล่าวมาข้างต้นมีตัวเลือกทั้ง SSF และ RMF ดังนี้
- Core Port สัดส่วน 70% แนะนำกองทุนรวมผสมกลุ่ม K-WealthPLUS Series ตามระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมกับตัวเอง ได้แก่ KWPBALRMF (เสี่ยงต่ำ), KWPSPEEDRMF (เสี่ยงปานกลาง) และ KWPULTIRMF (เสี่ยงสูง)
- Satellite Port สัดส่วน 30% แนะนำทั้งการลงทุนในตราสารหนี้ ภูมิภาค และธีมการลงทุนที่น่าสนใจ คือ
- ตราสารหนี้ระยะสั้น K-SF-SSF และ KSFRMF
ตราสารหนี้ระยะกลางและยาว K-FIXEDPLUS-SSF
ตราสารหนี้ระยะกลางและยาว K-FIXEDPLUS-SSF
- กองทุนหุ้น ESG อย่าง K-CHANGE-SSF และ KCHANGERMF
รวมถึงกองทุนหุ้น Healthcare อย่าง KGHRMF และ KGDRMF สำหรับการลงทุนในทองคำ
รวมถึงกองทุนหุ้น Healthcare อย่าง KGHRMF และ KGDRMF สำหรับการลงทุนในทองคำ
- โดยการลงทุนในกองทุนประหยัดภาษี SSF/RMF สามารถสับเปลี่ยนกองทุนไปในกองทุนประเภทเดียวกัน จึงเหมาะกับ Satellite Port ที่ต้องหมุนตามเศรษฐกิจหรือธีมการลงทุนไหนที่น่าสนใจในช่วงนั้น ๆ
สามารถรับชมรายการ TALK ลงทุนแมน Asset Allocation โอกาสสร้างผลตอบแทน แต่ละสินทรัพย์ ปรับทัพอย่างไรดี ? ได้ที่ลิงก์ https://youtu.be/oNRIcUtUQDU
*ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
หมายเหตุ: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน