การขายหมู 40 เด้ง ของ มาซา และ เจนเซน หวง
การขายหมู 40 เด้ง ของ มาซา และ เจนเซน หวง /โดย ลงทุนแมน
นี่เป็นภาพของ 2 คนเชื้อสายเอเชีย ที่ลงทุนแมนดูแล้วตกใจในเรื่องนี้ และทำให้คิดได้หลายเรื่อง
นี่เป็นภาพของ 2 คนเชื้อสายเอเชีย ที่ลงทุนแมนดูแล้วตกใจในเรื่องนี้ และทำให้คิดได้หลายเรื่อง
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เจนเซน หวง ไปที่ญี่ปุ่น ขึ้นเวทีกับ มาซาโยชิ ซน
ถ้าใครยังไม่รู้จัก 2 คนนี้ ก็สรุปสั้น ๆ เลยว่า
เจนเซน หวง คือผู้ก่อตั้ง Nvidia บริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดของโลกในตอนนี้
ตอนนี้ บริษัท Nvidia นี้ใหญ่กว่าบริษัท Apple หรือ Microsoft ที่ทุกคนคิดว่าน่าจะใหญ่สุด
Nvidia มีชิปเซ็ตประเภท GPU ที่ทรงพลังที่สุดในยุคนี้ และเป็นที่ต้องการของบริษัทที่ต้องการเป็นที่ 1 ด้าน AI
ตั้งแต่ลงทุนแมนลงทุนมา ยังไม่เคยเห็นบริษัทระดับ Megacap ของโลก จะมีกำไรเติบโตในอัตราเท่านี้แบบ Nvidia มาก่อน
ถ้าถามว่าในยุคปี 2010 คนที่มีชื่อเสียงในวงการเทคโนโลยีคือ สตีฟ จอบส์
แล้วในยุคปี 2020 คือใคร ?
บางคนบอกว่า อีลอน มัสก์
แต่ถ้าให้ลงทุนแมนตอบ คำตอบมันก็เฉลยอยู่ในมูลค่าบริษัทแล้ว
บางคนบอกว่า อีลอน มัสก์
แต่ถ้าให้ลงทุนแมนตอบ คำตอบมันก็เฉลยอยู่ในมูลค่าบริษัทแล้ว
เจนเซน หวง คือบุคคลที่เปลี่ยนวงการ AI ไปตลอดกาล
แม้แต่ Tesla ของอีลอน มัสก์ ก็ยังซื้อชิปเซ็ต จาก Nvidia..
แม้แต่ Tesla ของอีลอน มัสก์ ก็ยังซื้อชิปเซ็ต จาก Nvidia..
แล้ว มาซาโยชิ ซน คือใคร ?
เขาเป็น 1 ในบุคคลที่รวยสุดในญี่ปุ่น ผู้ก่อตั้ง Softbank
เขาเป็น 1 ในบุคคลที่รวยสุดในญี่ปุ่น ผู้ก่อตั้ง Softbank
บนเวที เจนเซน หวง เล่าว่า
- มาซา ชวน บิลล์ เกตส์ เอา Microsoft เข้าญี่ปุ่น
- มาซา ชวน สตีฟ จอบส์ เอา iPhone เข้าญี่ปุ่น
- มาซา ชวน เจอร์รี หยาง เอา Yahoo เข้าญี่ปุ่น
- มาซา ชวน บิลล์ เกตส์ เอา Microsoft เข้าญี่ปุ่น
- มาซา ชวน สตีฟ จอบส์ เอา iPhone เข้าญี่ปุ่น
- มาซา ชวน เจอร์รี หยาง เอา Yahoo เข้าญี่ปุ่น
สรุปแล้ว มาซาโยชิ ซน เป็นคนนำเทคโนโลยีเข้าญี่ปุ่น
และนอกจากนั้นมาซายังเป็นคนชอบเอาเงินไปลงทุนบริษัทเทคโนโลยีในต่างประเทศด้วย
และนอกจากนั้นมาซายังเป็นคนชอบเอาเงินไปลงทุนบริษัทเทคโนโลยีในต่างประเทศด้วย
- Alibaba ของแจ็กหม่า ก็เคยมี Softbank เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุด
- และ Nvidia ก็เช่นกัน Softbank เป็นนักลงทุนคนแรก ๆ ใน Nvidia
- และ Nvidia ก็เช่นกัน Softbank เป็นนักลงทุนคนแรก ๆ ใน Nvidia
เรียกได้ว่า Softbank ปั้นบริษัทใหญ่ ๆ มาหลายบริษัทแล้ว
แต่ข้อมูลที่น่าสนใจคือ
Softbank เคยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุดของ Nvidia เคยถือมากถึง 5% ของหุ้นทั้งหมดของบริษัทเมื่อ 5 ปีที่แล้ว และได้ขายหุ้นทั้งหมดไปแล้ว
Softbank เคยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุดของ Nvidia เคยถือมากถึง 5% ของหุ้นทั้งหมดของบริษัทเมื่อ 5 ปีที่แล้ว และได้ขายหุ้นทั้งหมดไปแล้ว
ในตอนนั้นจำนวนหุ้นเท่านี้จะมีมูลค่า 140,000 ล้านบาท
แต่ถ้า Softbank ไม่ขายหุ้น และถือมาจนถึงตอนนี้ จะมีมูลค่ามากถึง 6,200,000 ล้านบาท..
คิดเป็นมูลค่าที่เพิ่ม 44 เท่าตัว ใน 5 ปี
คิดเป็นมูลค่าที่เพิ่ม 44 เท่าตัว ใน 5 ปี
ข้อมูลที่น่าสนใจที่สุดก็คือ
เจนเซน หวง เพิ่งเปิดเผยว่า มาซาโยชิ ซน เคยเสนอให้ยืมเงินเพื่อซื้อกิจการทั้งหมดของ Nvidia
เจนเซน หวง เพิ่งเปิดเผยว่า มาซาโยชิ ซน เคยเสนอให้ยืมเงินเพื่อซื้อกิจการทั้งหมดของ Nvidia
มาซา กล่าวกับ เจนเซน หวง ว่า
“ตลาดหุ้นไม่เข้าใจคุณค่าของ Nvidia อนาคตของคุณจะรุ่งโรจน์ แต่ระยะสั้นเส้นทางของคุณน่าจะยังขลุกขลัก ผมให้คุณยืมเงินเพื่อซื้อหุ้น Nvidia ทั้งหมดจากตลาดหุ้นได้”
“ตลาดหุ้นไม่เข้าใจคุณค่าของ Nvidia อนาคตของคุณจะรุ่งโรจน์ แต่ระยะสั้นเส้นทางของคุณน่าจะยังขลุกขลัก ผมให้คุณยืมเงินเพื่อซื้อหุ้น Nvidia ทั้งหมดจากตลาดหุ้นได้”
และก็เป็นที่มาของภาพนี้..
มาซาโยชิ ซน เอามือแตะไหล่ และทำท่าร้องไห้
เจนเซน หวง บอกว่าไม่เป็นไร เรามาร้องไห้ไปด้วยกัน..
มาซาโยชิ ซน เอามือแตะไหล่ และทำท่าร้องไห้
เจนเซน หวง บอกว่าไม่เป็นไร เรามาร้องไห้ไปด้วยกัน..
เพราะในตอนนั้น เจนเซน หวง ก็ไม่ได้ตอบรับข้อเสนอของ มาซาโยชิ ซน ซึ่งจะทำให้เขามีโอกาสถือหุ้นเพิ่มขึ้นในบริษัท Nvidia ซึ่งก็แปลว่า เจนเซน หวง พลาดเหมือนกัน..
ถ้าถามว่าเรื่องนี้เราได้ข้อคิดอะไร ?
1. ไม่ว่าเราจะเป็นนักลงทุนมีประสบการณ์มากแค่ไหน เคยลงทุนสำเร็จมาแล้วกี่บริษัท ก็สามารถมองพลาดได้เสมอ
รับรองว่า ถ้ามาซาโยชิ ซน ยังถือหุ้น Nvidia ทั้งหมดจนถึงตอนนี้ เขาจะมีทรัพย์สินมากสุดเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกเลยทีเดียว
มาซาโยชิ ซน เชื่อใน Nvidia มาก แต่ก็ตัดสินใจพลาด ขายหุ้น Nvidia ทิ้งไป อาจเพราะคิดว่าราคาขึ้นมาเต็มมูลค่าแล้ว ถ้าเดาจากคำพูดคือเขาเชื่อว่า Nvidia มีอนาคตที่รุ่งโรจน์ แต่ระหว่างทาง Nvidia จะขลุกขลัก ก็เลยขายหุ้น Nvidia เอาเงินไปลงทุนอย่างอื่นก่อน
แต่บอกเลยว่าถ้ามาซาโยชิ ซน นั่งไทม์แมชชีน มาเห็นอนาคตแล้ว เขาน่าจะเลือกที่ไม่ขายแน่นอน
2. แม้แต่ตัวเจ้าของบริษัทที่มีธุรกิจอยู่ตรงหน้า ก็ยังไม่รู้ว่าอนาคตของตัวเองจะไปได้ไกลสุดที่เท่าไร
ถ้าในตอนนั้น เจนเซน หวง ตอบรับข้อเสนอข้อ มาซาโยชิ ซน ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการปฏิเสธ แต่ที่ไม่ตอบรับก็คงเป็นเพราะว่าไม่มั่นใจเหมือนกันว่าราคาหุ้นของ Nvidia ที่จะซื้อจากตลาดในตอนนั้น กับมูลค่าที่แท้จริงของ Nvidia มันเป็นอย่างไร
คนที่เห็นธุรกิจมากที่สุด บางทีก็ยังไม่รู้อนาคตของธุรกิจตัวเอง..
3. ถ้าเราไม่อยากพลาดอะไรเลย บางทีให้อยู่เฉย ๆ
หลักการนี้คงเป็นหลักการที่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ชอบใช้ บัฟเฟตต์จะถือหุ้นของธุรกิจนั้นไปอย่างยาวนาน เช่น CocaCola
แต่ก็คงเป็นอะไรที่ต่างกัน เพราะหุ้นของบัฟเฟตต์ จะไม่ได้โตเร็วแรง เหมือน Nvidia จึงอาจทำให้เขาไม่มีโอกาสขายในราคาที่ P/E สูง ๆ เหมือนกับ มาซาโยชิ ซน ที่ขาย Nvidia
ถ้า CocaCola ขึ้นมาเยอะอย่างรวดเร็ว บัฟเฟตต์อาจจะขายหุ้นทิ้งก็ได้ ใครจะไปรู้..
4. การมีมุมมองที่ไกล เป็นสิ่งที่มาซาและ เจนเซน หวงมี แต่คนอื่นไม่มี
ทำไมมาซาโยชิ ซน ถึงลงทุนใน Nvidia เป็นคนแรก ๆ
ทำไมเจนเซน หวง ถึงเชื่อในผลิตภัณฑ์ของตัวเอง ทำแต่เรื่องเดียว และรอวันสุกงอมที่จะกินรวบ
ทำไมเจนเซน หวง ถึงเชื่อในผลิตภัณฑ์ของตัวเอง ทำแต่เรื่องเดียว และรอวันสุกงอมที่จะกินรวบ
การลงทุนบางครั้ง ไม่ใช่มามองว่าสิ้นปี หรือปีหน้าจะเป็นอย่างไร
แต่มันคือการมองภาพเป็น 10 ปี ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และเลือกที่จะเดิมพันกับมันในระยะยาว
และถ้าเรามองถูกต้อง เราก็คงได้ผลตอบแทนที่งดงาม
ยกเว้นเสียแต่ว่า เราขายหมูไปซะก่อน เหมือน มาซา และ เจนเซน หวง นั่นเอง..
ยกเว้นเสียแต่ว่า เราขายหมูไปซะก่อน เหมือน มาซา และ เจนเซน หวง นั่นเอง..