“หุ้น Microsoft 10 ปีก่อน 10 เด้ง อีก 10 ปีต่อจากนี้ ก็จะขึ้นอีกเป็น 10 เด้ง"
“หุ้น Microsoft 10 ปีก่อน 10 เด้ง อีก 10 ปีต่อจากนี้ ก็จะขึ้นอีกเป็น 10 เด้ง"
- สรุปมุมมองหุ้น Microsoft ยังมีโอกาสไปต่อได้ไหม ? ในงาน “ลงทุนนอก 2024” โดย คุณยศพนธ์ สุธารัตนชัยพร, CFA เจ้าของเพจ ชีพจรลงทุน
- สรุปมุมมองหุ้น Microsoft ยังมีโอกาสไปต่อได้ไหม ? ในงาน “ลงทุนนอก 2024” โดย คุณยศพนธ์ สุธารัตนชัยพร, CFA เจ้าของเพจ ชีพจรลงทุน
Microsoft เป็นหุ้น 10 เด้ง ใน 10 ปี
แต่ Microsoft ยังมีโอกาสเป็นหุ้นอีก 10 เด้งได้ ในอีก 10 ปีต่อจากนี้..
แต่ Microsoft ยังมีโอกาสเป็นหุ้นอีก 10 เด้งได้ ในอีก 10 ปีต่อจากนี้..
- แล้ว Microsoft ที่ใหญ่อยู่แล้ว จะเอาอะไรไปโตได้อีก ?
หลายคนอาจมองว่า Microsoft เป็นแค่คนให้บริการระบบปฏิบัติการ Windows ในคอมพิวเตอร์เพียงอย่างเดียว แต่จริง ๆ แล้ว Microsoft เป็นมากกว่านั้นเยอะ
Microsoft ได้ขยายไปในหลากหลายธุรกิจ อย่างเช่น การลงทุนใน OpenAI องค์กรผู้พัฒนา ChatGPT AI ที่มีความสามารถสูง ช่วยโค้ดดิ้งเขียนโปรแกรมอันซับซ้อนได้
คุณ Satya Nadella ซีอีโอของบริษัท บอกว่า ปัจจุบัน Microsoft ไม่ได้เป็นเพลตฟอร์ม สำหรับ B2C
ที่ขาย Windows และโปรแกรม Microsoft Office อย่างที่หลาย ๆ คนรู้จักเพียงอย่างเดียว
ที่ขาย Windows และโปรแกรม Microsoft Office อย่างที่หลาย ๆ คนรู้จักเพียงอย่างเดียว
แต่ในปัจจุบัน Microsoft ยังวางตัวเป็นเพลตฟอร์ม B2B ที่ช่วยบริษัท หรือช่วยธุรกิจ ให้สามารถทำงานได้ง่ายขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
อย่างในตอนนี้ Microsoft ก็มีโปรแกรมหลาย ๆ อย่าง ที่เข้ามาช่วยให้ธุรกิจมีประสิทธิภาพได้
อย่างเช่น ChatGPT ไปจนถึงโปรแกรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น
- โปรแกรมแช็ต อย่าง Skype
- โปรแกรมคำนวณข้อมูลขั้นสูง อย่าง Power BI
- โปรแกรมแช็ต อย่าง Skype
- โปรแกรมคำนวณข้อมูลขั้นสูง อย่าง Power BI
ซึ่งโปรแกรมและเพลตฟอร์มทั้งหมดนี้
จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับธุรกิจ รวมถึงสามารถเปลี่ยนแปลง ปฏิรูปธุรกิจ ไปในทางที่ดีขึ้นได้
จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับธุรกิจ รวมถึงสามารถเปลี่ยนแปลง ปฏิรูปธุรกิจ ไปในทางที่ดีขึ้นได้
ที่สำคัญ Microsoft มีการนำ AI ไปผนวกกับผลิตภัณฑ์เดิมของบริษัท เพื่อเพิ่มมูลค่า เพิ่มรายได้ รวมถึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ
แต่หลายคนอาจไม่ทราบว่า Microsoft มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมยา โดยเฉพาะในการพัฒนายาด้วย AI
ซึ่งอุตสาหกรรมนี้มีมูลค่ามหาศาล และอาจเป็นอีกหนึ่ง New S-curve ของบริษัท..
ซึ่งอุตสาหกรรมนี้มีมูลค่ามหาศาล และอาจเป็นอีกหนึ่ง New S-curve ของบริษัท..
- AI ปฏิวัติวงการยาอย่างไร ?
การค้นพบยาใหม่ ๆ เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและใช้เวลานาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขั้นตอนการหาโปรตีนที่เหมาะสม ซึ่งอาจใช้เวลานานถึง 6-7 ปี คิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของเวลาในการพัฒนายาทั้งหมด
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขั้นตอนการหาโปรตีนที่เหมาะสม ซึ่งอาจใช้เวลานานถึง 6-7 ปี คิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของเวลาในการพัฒนายาทั้งหมด
AI มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและขับเคลื่อนวิทยาศาสตร์ในหลายด้าน รวมถึงการวิจัยเกี่ยวกับ DNA และ mRNA เช่น
1. การวิเคราะห์ข้อมูล
สามารถวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ที่ได้จากการศึกษา DNA และ mRNA เช่น ข้อมูลลำดับพันธุกรรม (genome sequencing) เพื่อระบุรูปแบบ ความสัมพันธ์ และความผิดปกติต่าง ๆ ที่อาจเกี่ยวข้องกับโรค
สามารถวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ที่ได้จากการศึกษา DNA และ mRNA เช่น ข้อมูลลำดับพันธุกรรม (genome sequencing) เพื่อระบุรูปแบบ ความสัมพันธ์ และความผิดปกติต่าง ๆ ที่อาจเกี่ยวข้องกับโรค
2. การเร่งกระบวนการวิจัย
ช่วยเร่งกระบวนการวิจัย โดยการวิเคราะห์ข้อมูล ทำนายผล และช่วยในการตัดสินใจ พร้อมลดต้นทุน
ช่วยเร่งกระบวนการวิจัย โดยการวิเคราะห์ข้อมูล ทำนายผล และช่วยในการตัดสินใจ พร้อมลดต้นทุน
3. การทำนายโครงสร้างโมเลกุล
เช่น โครงสร้างของ DNA RNA และโปรตีน ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการศึกษาทำความเข้าใจกลไกการทำงานของสิ่งมีชีวิต และพัฒนายา
เช่น โครงสร้างของ DNA RNA และโปรตีน ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการศึกษาทำความเข้าใจกลไกการทำงานของสิ่งมีชีวิต และพัฒนายา
ดังนั้น AI จึงมีศักยภาพในการปฏิวัติวงการชีววิทยา และการแพทย์ โดยการช่วยให้เราเข้าใจโครงสร้างโปรตีน ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการศึกษาทำความเข้าใจกลไกการทำงานของสิ่งมีชีวิต, พัฒนายา และรักษาโรค
- คำถามคือ หุ้น AI ที่ตอนนี้ขึ้นมาแรง ๆ กำลังเป็นฟองสบู่หรือไม่ ?
หลายคนอาจกังวลว่า หุ้น AI กำลังถูกประเมินมูลค่าสูงเกินไป แต่หากเราลองมาดูข้อมูล
จากการเปรียบเทียบอัตราส่วนราคาต่อกำไร หรือ P/E Ratio ในช่วงวิกฤติ Dot Com หุ้นกลุ่มเทค มี P/E Ratio สูงถึง 40-50 เท่า
ในขณะที่หุ้นกลุ่ม AI ในปัจจุบันมี P/E Ratio อยู่ที่ 20-30 เท่า และยังมีการเติบโตของรายได้ กำไร ให้เห็นจริง ๆ
- สิ่งที่ต้องจับตาคือ การทุ่มลงทุนใน AI อย่างมหาศาล
ถึง Microsoft จะมี Capex สูง เพราะต้องเอาเงินไปลงทุนใน AI Infrastructure ที่กำลังบวมขึ้นทุกปี และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
แต่บริษัทก็มีกระแสเงินแข็งแกร่ง เติบโตต่อเนื่องด้วยเช่นกัน สภาพคล่องยังเหลืออีกมาก
ถึง Microsoft จะมี Capex สูง เพราะต้องเอาเงินไปลงทุนใน AI Infrastructure ที่กำลังบวมขึ้นทุกปี และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
แต่บริษัทก็มีกระแสเงินแข็งแกร่ง เติบโตต่อเนื่องด้วยเช่นกัน สภาพคล่องยังเหลืออีกมาก
ซึ่งตอนนี้มีเพียงไม่กี่บริษัทเท่านั้น ที่จะสามารถลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ได้มากขนาดนี้
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงของ AI ในวันนี้ก็คือ มันยังไม่เข้าใจเรื่อง Emotion และยังมีเรื่องของ Regulation ที่บริษัทอาจต้องเผชิญหน้ากับรัฐบาลต่าง ๆ เพราะ AI ที่มีศักยภาพสูง อาจสั่นคลอนความมั่นคงของรัฐ และนำไปสู่หายนะได้..