Hermes คือหุ้นที่ทำผลตอบแทนได้ 264 เด้ง ในช่วง 30 ปี
(เงิน 1 ล้าน กลายเป็น 264 ล้าน)
ส่วน LVMH เป็นหุ้น 41 เด้ง ในช่วง 30 ปี
(เงิน 1 ล้าน กลายเป็น 41 ล้าน)

ปัจจุบัน LVMH มีมูลค่าบริษัทกว่า 14 ล้านล้านบาท เป็นบริษัทแบรนด์หรูที่ใหญ่สุดในโลก เจ้าของแบรนด์นับไม่ถ้วน ทั้ง Louis Vuitton, Dior, Tiffany, Fendi, Givenchy, Marc Jacobs, Loewe, Loro Piana, Celine, Sephora, TAG Heuer, Bulgari
ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไปซื้อกิจการมา

ในขณะที่ Hermes มีเพียงแบรนด์ ๆ เดียว ก็สามารถมีมูลค่าบริษัทแตะ 9 ล้านล้านบาท เป็นบริษัทแบรนด์หรูเบอร์ 2 ของโลกได้

รู้ไหมว่า คุณแบร์นาร์ อาร์โน เจ้าของ LVMH ก็เคยคิดจะฮุบกิจการ Hermes เช่นกัน แต่ทำไม่สำเร็จ

LVMH เคยแอบทยอยสะสมหุ้นของ Hermes เป็นเวลา 10 กว่าปี ผ่านบริษัทในเครือและสถาบันการเงินต่าง ๆ
จากไม่กี่เปอร์เซ็น แอบซื้อเรื่อย ๆ จนกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ถือหุ้นถึง 23%

สงครามแย่งชิงกิจการ Hermes ระหว่างแบร์นาร์ อาร์โน กับตระกูลแอร์เมส ในครั้งนั้น ถูกขนานนามว่า “The Handbag War” เลยทีเดียว
และก็มีการฟ้องร้องกันไปมา จากทั้ง 2 ฝ่าย

ซึ่งตอนนั้นก็ดูเหมือนว่า LVMH น่าจะเป็นฝ่ายชนะ และได้ Hermes ไปครอบครอง

อย่างไรก็ตาม ครอบครัวแอร์เมส กลับไม่คิดที่จะยอมแพ้ และเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่คิดที่จะขายหุ้นออกไป อีกทั้งร่วมกันจัดตั้งบริษัทโฮลดิงขึันมา เพื่อเอาหุ้นของทุกคนในตระกูลมารวมกัน เพื่อต่อกรกับ LVMH ซึ่งสุดท้ายก็รวบรวมหุ้นได้มากกว่า 50%

ประกอบกับ ศาลฝรั่งเศส ได้เข้ามาช่วยยุติสงคราม
ทำให้ LVMH ยอมแพ้ และกระจายหุ้นที่ถือใน Hermes ให้กับผู้ถือหุ้นของ LVMH

โดยแบร์นาร์ อาร์โน ก็ได้หุ้นมาส่วนหนึ่ง ซึ่งไม่กี่ปีต่อมา เขาก็ได้ขายหุ้น Hermes ออกไปเกือบทั้งหมด และฟันกำไรไป 150,000 ล้านบาท
ปิดฉากมหากาพย์ แย่งชิงกิจการแบรนด์หรูในตำนาน ลงในที่สุด..

แต่เรื่องนี้ก็น่าคิดว่า
ถ้าถามคุณแบร์นาร์ อาร์โน
ว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้
เขาจะเลือกเส้นทางไหน

ระหว่าง แก้ไขอดีต ไม่ยกธงขาวยอมแพ้ สู้กับตระกูลแอร์เมสต่อไป
ซึ่งก็ไม่รู้ผลลัพธ์ว่าจะออกมาเป็นแบบไหน ถ้าแพ้ อาจจะไม่ได้อะไรเลย แต่ถ้าทำสำเร็จ ผลตอบแทนที่ได้ ก็คงมากกว่าจำนวน 150,000 ล้านบาท จนเทียบไม่ติด และวันนี้ LVMH คงยิ่งใหญ่กว่าที่เป็นอยู่อีกมาก

หรือ เขาคงไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงอะไร พอใจกับกำไรตรงนี้แล้ว เพราะมันคือการตัดสินใจที่ดีที่สุด ณ เวลานั้น..