ดุลการชำระเงิน คืออะไร ?

ดุลการชำระเงิน คืออะไร ?

[ประเด็นสำคัญ] ดุลการชำระเงิน คือ ผลสุทธิของรายรับและรายจ่าย จากการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ ทั้งในภาคเศรษฐกิจจริง และภาคการเงิน ซึ่งจะส่งผลต่อค่าเงินของประเทศให้แข็งหรืออ่อนได้
ดุลการชำระเงิน อธิบายแบบง่าย ๆ ก็คือ รายรับของประเทศ หักด้วย รายจ่ายของประเทศ
โดยรายได้และรายจ่ายของแต่ละประเทศ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ
- ดุลบัญชีเดินสะพัด ที่สะท้อน ภาคเศรษฐกิจจริง
- ดุลบัญชีเงินทุน ที่สะท้อน ภาคการเงิน
โดย “ดุลบัญชีเดินสะพัด” ประกอบด้วย 4 ส่วน คือ
1. ดุลการค้า คือ มูลค่าการส่งออกสินค้า หักด้วย มูลค่าการนำเข้าสินค้ารวมของประเทศ
การค้าที่ไทยส่งออก เช่น ส่งออกรถยนต์
การค้าที่ไทยนำเข้า เช่น นำเข้าน้ำมันดิบ
2. ดุลบริการ คือ มูลค่าการส่งออกบริการ หักด้วย มูลค่าการนำเข้าบริการรวมของประเทศ
บริการที่ไทยส่งออก เช่น คนต่างชาติมาท่องเที่ยวในประเทศไทย
ส่วนรายจ่ายด้านการบริการ ก็เช่น รายจ่ายในการไปศึกษาในต่างประเทศของคนไทย
3. รายได้-รายจ่าย จากการทำงานและลงทุน
รายได้จากการทำงานและลงทุน เช่น คนไทยไปทำงานในต่างประเทศ หรือลงทุนในต่างประเทศแล้วได้รับผลตอบแทนมา จึงส่งเงินกลับมาไทย
รายจ่ายจากการทำงานและลงทุน เช่น คนต่างประเทศที่มาทำงานในไทย หรือลงทุนในไทยแล้วได้รับผลตอบแทน จึงส่งเงินกลับไปต่างประเทศ
4. รายได้-รายจ่าย จากเงินโอนและเงินบริจาค
เช่น ประเทศไทยมอบเงินช่วยเหลือให้ต่างชาติ ก็ถือเป็นรายจ่าย
ส่วนถ้าประเทศไทยได้รับเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ ก็ถือเป็นรายรับ
ส่วน “ดุลบัญชีเงินทุน” ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ
1. บัญชีทุน ประกอบไปด้วย
- กิจกรรมการโอนหรือย้ายเงินทุนทั้งในรูปตัวเงินและไม่ใช่ตัวเงิน
เช่น การโอนสิทธิสินค้าทุน การโอนสิทธิในสินทรัพย์ถาวรระหว่างประเทศ
- การซื้อ-ขายทรัพย์สินที่ผลิตขึ้นไม่ได้
เช่น การซื้อขายลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร สัมปทาน ระหว่างประเทศ
ถ้าประเทศเราซื้อก็เป็นรายจ่ายของประเทศ ถ้าขายก็เป็นรายรับของประเทศ
2. บัญชีการเงิน ประกอบไปด้วย
- การลงทุนโดยตรงของต่างชาติ
- การลงทุนในหลักทรัพย์ทั้งตราสารทุนและตราสารหนี้
- การลงทุนในอนุพันธ์ทางการเงิน (คิดจากผลกำไรหรือขาดทุนจากสัญญาอนุพันธ์)
- การลงทุนอื่น ๆ เช่น เงินกู้ และเงินฝาก
เมื่อรวมรายได้และรายจ่ายทั้งหมดของประเทศนี้เข้าด้วยกัน ก็เขียนออกมาเป็นสมการได้ว่า
ดุลการชำระเงิน = ดุลบัญชีเดินสะพัด + ดุลบัญชีเงินทุน
ถ้ารายได้ของประเทศ มากกว่า รายจ่ายของประเทศ (ดุลการชำระเงินเป็น +)
เราเรียกว่า ดุลการชำระเงิน “เกินดุล”
ถ้ารายได้ของประเทศ น้อยกว่า รายจ่ายของประเทศ (ดุลการชำระเงินเป็น -)
เราเรียกว่า ดุลการชำระเงิน “ขาดดุล”
ถ้ารายได้ของประเทศ เท่ากับ รายจ่ายของประเทศ
เราเรียกว่า ดุลการชำระเงิน “สมดุล”
ที่ต้องทำความเข้าใจให้ดีคือ ดุลการชำระเงินที่เกินดุล หรือขาดดุล ไม่เพียงพอที่จะบอกได้ว่า เศรษฐกิจของประเทศนั้น ดีหรือแย่
ตัวอย่างเช่น
ประเทศที่มีดุลการชำระเงินขาดดุล อาจเป็นไปได้ว่า การส่งออกของประเทศ (รายได้) ไม่ได้ลดลง
แต่รายจ่ายของประเทศเพิ่มขึ้น จากการนำเข้าเครื่องจักรจำนวนมากเพื่อขยายกำลังการผลิต
ถ้าเป็นแบบนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าศักยภาพของเศรษฐกิจประเทศจะแย่ลง
สรุปคือ การที่ดุลการชำระเงินเกินดุลหรือขาดดุลนั้น บอกได้เพียงว่า ณ ช่วงเวลานั้น ประเทศมีรายรับเข้ามา มากกว่าหรือน้อยกว่า รายจ่ายที่ประเทศจ่ายออกไป
ซึ่งถ้ามีรายรับเข้าประเทศมากกว่ารายจ่าย ก็จะทำให้มีความต้องการเงินบาทที่สูงกว่าเงินตราต่างประเทศ และก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งขึ้นได้
ในทางตรงกันข้าม ถ้ามีรายรับเข้าประเทศน้อยกว่ารายจ่าย ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงได้เช่นกัน..
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon