[UPDATE] สรุปผลประกอบการ MINT ไตรมาสล่าสุด

[UPDATE] สรุปผลประกอบการ MINT ไตรมาสล่าสุด

[UPDATE] สรุปผลประกอบการ MINT ไตรมาสล่าสุด
เมื่อชั่วโมงที่ผ่านมา บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)
หรือ MINT ได้ออกมาประกาศผลประกอบการในไตรมาสที่ 1 ปี 2564
รายได้ 12,168 ล้านบาท รายได้ลดลง 44%
ขาดทุน 7,250 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้น 309%
ซึ่งหลัก ๆ ก็ยังเป็นผลกระทบที่สืบเนื่องมาจากการระบาดของโควิด 19 ที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น
ปัจจุบันไมเนอร์ มีสัดส่วนรายได้มาจาก
ธุรกิจโรงแรมและอื่น ๆ 53%
ธุรกิจร้านอาหาร 41%
ธุรกิจจัดจำหน่ายและรับจ้างผลิต 6%
โดยบริษัทมีแบรนด์อาหารที่เราคุ้นเคย เช่น เดอะ พิซซ่า คอมปะนี, สเวนเซ่นส์, ซิซซ์เล่อร์, แดรี่ควีน
ซึ่งส่วนที่กระทบมากที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้น “โรงแรม” ซึ่งนับเป็นแหล่งรายได้ที่มากสุดของบริษัท
โดยในไตรมาสที่ 1 มีรายได้ 6,624 ล้านบาท ลดลง 58% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
นอกจากนั้นยังมีการลดจำนวนห้องพักเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 470 ห้อง
จากทั้งส่วนที่บริษัทลงทุนเองและรับจ้างบริหาร ทั้งในและต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม บริษัทก็ได้มีการขยายธุรกิจไปยัง “สถานที่กักกันทางเลือก”
ซึ่งช่วยให้โรงแรมในกรุงเทพฯ ยังพอมีรายได้บ้าง
ในส่วนของธุรกิจร้านอาหาร ในไตรมาสที่ 1 มีรายได้ 5,173 ล้านบาท ลดลง 12.4%
เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
ซึ่งเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสระลอกที่ 2 ในประเทศไทย และมีการปิดร้านอาหารที่ประเทศออสเตรเลียบางแห่งที่ไม่สามารถทำกำไรได้
ในส่วนของยอดขายต่อร้านเดิม (Same-Store-Sales) มีแนวโน้มที่จะเติบโตดีขึ้น
เนื่องมาจากการฟื้นฟูของธุรกิจในประเทศจีนและออสเตรเลีย ซึ่งส่งผลให้มียอดขายที่ดีขึ้น
แต่ยอดขายก็ยังลดลง 15.3% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เนื่องมาจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสระลอกที่ 2 และมาตรการที่เข้มงวดจากทางรัฐบาลในประเทศไทย
ส่งผลให้ยอดขายทุกสาขาในประเทศไทยมีรายได้ลดลงมากถึง 24.7%
โดยในไตรมาสที่ 1 ที่ผ่านมาทางบริษัทได้มีพัฒนาการต่าง ๆ ดังนี้ คือ
- ปิดร้านอาหารเพิ่ม 5 สาขา
ซึ่งส่วนใหญ่เป็น ร้านเดอะ พิซซ่า คอมปะนี และเดอะ คอฟฟี่ คลับในประเทศไทย โดยหักลบกับการเปิดร้าน ริเวอร์ไซด์ในประเทศจีน และคอฟฟี่ เจอนี่ ในประเทศไทย
- ปิดโรงแรม 5 แห่ง
คือ NH Hotel ในอิตาลี 2 แห่ง และโรงแรมที่รับจ้างบริหาร อีก 3 แห่ง ในต่างประเทศ
ซึ่งนับตั้งแต่เกิดสถานการณ์โรคระบาด ก็ทำให้ไมเนอร์
มีการออกหุ้นกู้รวมถึงหุ้นเพิ่มทุน มาเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับการดำเนินธุรกิจ
ปัจจุบันภาระหนี้สินของทั้งบริษัทอยู่ที่ 2.8 แสนล้านบาท
โดยครึ่งหนึ่งของจำนวนนี้ เป็นหนี้สินที่มีดอกเบี้ย
ในขณะที่ผลประกอบการยังคงขาดทุน และคาดว่าจะหนักขึ้นในไตรมาสที่ 2
ก็น่าติดตามว่าหลังจากนี้ไมเนอร์ จะสามารถก้าวผ่านความท้าทายนี้ไปได้อย่างไร..
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon