สรุป อินไซต์การลงทุนปีหน้า จาก SCB WEALTH

สรุป อินไซต์การลงทุนปีหน้า จาก SCB WEALTH

วันนี้ ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้จัดงาน SCB WEALTH HOLISTIC EXPERTS ขึ้น เพื่ออัปเดตภาพรวมการลงทุนปีนี้ และเทรนด์การลงทุนปีหน้า
แล้วภาพรวมการลงทุนปีนี้ และปีหน้าเป็นอย่างไร
ลงทุนแมนจะสรุปให้ฟัง
ย้อนกลับไปช่วงต้นปี หลายฝ่ายมองกันว่าโลกของเรา ออกจากการล็อกดาวน์แล้ว ทุกอย่างก็จะเริ่มดีขึ้น
แต่เรากลับต้องมาเจอกับข่าวร้ายตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็น
- เศรษฐกิจถดถอย
- การขึ้นอัตราดอกเบี้ย
- สงครามตะวันออกกลางที่ยืดเยื้อ
สรุปสั้น ๆ เลยคือ ปีนี้เป็นปีแห่งความผันผวน
แต่พอมาปลายปี ตลาดก็เริ่มมองว่าเศรษฐกิจแค่เพียงชะลอตัว ในชนิดที่สามารถจัดการได้
ทำให้จากเดิม ที่มองกันว่าแนวโน้มดอกเบี้ยในระดับสูง และค้างนาน หรือ Higher for Longer เปลี่ยนไปเป็นความหวังว่าธนาคารกลาง จะหยุดขึ้นดอกเบี้ยกันมากกว่า
ในขณะเดียวกัน SCB ยังมองว่ายังมีความเสี่ยงที่ต้องติดตามกันอยู่ ได้แก่
- ภาวะ Stagflation เป็นภาวะเศรษฐกิจโตช้า แต่เงินเฟ้อสูง
- ธุรกิจหนี้สูง หนี้ใกล้ครบกำหนดจำนวนมาก มีความเสี่ยงกู้แพงขึ้น
นอกจากนี้ ก็ยังมีเรื่องความไม่แน่นอนทางการเมืองจากการเลือกตั้งในประเทศหลัก ๆ จะทำให้ตลาดการลงทุนผันผวน และสภาพคล่องทั้งโลก มีแนวโน้มจากนโยบาย QT หรือการดูดเงินกลับเข้าสู่ระบบ
โดย SCB มองว่าปีหน้า ให้ระมัดระวังการลงทุน ควรแบ่งเงินลงทุนไปต่างประเทศ เน้นลงทุนในสินทรัพย์คุณภาพสูง เช่น พันธบัตรรัฐบาล และหุ้นกู้กลุ่ม Investment Grade
ถ้าเป็นหุ้นรายตัว ก็มองไปที่กลุ่ม Quality Growth เช่น 7 บริษัทมูลค่ามากสุดในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และอินเดีย
ทีนี้ มาเจาะลึกที่ตลาดหุ้นไทยกันบ้าง
- ตลาดหุ้นไทยปีหน้า
ในมุมมองของ อินโนเวสท์ เอกซ์ ยังคงมีความผันผวน แต่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าปีนี้
เหตุผลหลัก ๆ เลยคือ มองว่าตลาดหุ้นไทย Undervalued หรืออยู่ในระดับต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน
ตลาดจะยังมีความผันผวนในช่วงครึ่งปีแรก และจะปรับตัวได้ดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยประเมินเป้าหมายของ SET Index ปีหน้า จะอยู่ที่ 1,750 จุด
ด้านความเสี่ยงเศรษฐกิจชะลอตัว และถดถอย คาดว่าจะไม่รุนแรงอย่างที่คิด เป็นเพียง Soft Landing และ Mild Recession เท่านั้น
ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ในช่วงครึ่งปีหลัง มีแนวโน้มจะปรับตัวลดลง
หากเป็นแบบนี้ เงินทุนต่างชาติจะไหลกลับมาลงทุนในตลาดเกิดใหม่จากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง
สำหรับกลุ่มธุรกิจไทยที่ลงทุนในปีหน้า มี 3 กลุ่ม
- กลุ่มที่เติบโตโดดเด่นกว่าค่าเฉลี่ย
ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก การแพทย์ และขนส่ง
- กลุ่มที่ราคาลดลงจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น แต่พื้นฐานยังดี เช่น โรงไฟฟ้า และ REIT
- หุ้นที่มี ESG Score สูงระดับ AAA แต่ราคาลงมามาก
นอกจากนี้ ก็ยังมีมุมมองเพิ่มเติมเกี่ยวกับธุรกิจ Wealth Management จาก BCG บริษัทที่ปรึกษาระดับโลก ที่ได้เข้ามาร่วมบรรยาย เปิดเผยว่า ตลาด Wealth ทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีอัตราการเติบโต 4.5% ต่อปี ในช่วง 2 ถึง 3 ปีข้างหน้า
โดยมี 4 เทรนด์หลัก ๆ ที่เห็นได้ชัดเลยก็คือ
- ลูกค้ากลุ่ม High Net Worth
ต้องการได้รับคำปรึกษาเกี่ยวกับการวางแผนมรดก และวางแผนเพื่อการเกษียณ
- สถาบันการเงินข้ามชาติ ทั้งเล็ก กลาง ใหญ่ เข้ามาแข่งขันกันอย่างร้อนแรงในธุรกิจกลุ่มนี้
- ลูกค้าต้องการคำแนะนำ ที่ครบถ้วน และหลากหลายมากขึ้น
- ลูกค้าต้องการประสบการณ์ใช้งานบริการแบบไร้รอยต่อ เช่น การจัดพอร์ตกองทุน การค้นหาข้อมูลอัปเดตตลาด ไปจนถึงการทำรายการซื้อขาย และมอนิเตอร์พอร์ตการลงทุน
สำหรับความเห็นเรื่องภาษีหุ้นนอก
ปัจจุบันชัดเจนแล้วว่า สินทรัพย์ที่จดทะเบียนในไทย อย่างเช่น กองทุน จะไม่มีการเก็บภาษีเพิ่มเติม
แต่สินทรัพย์ที่จดทะเบียนในต่างประเทศ เช่น การลงทุนในหุ้นรายตัว นักลงทุนก็ต้องมีการปรับกลยุทธ์การลงทุน
โดยเรายังคงต้องติดตามความชัดเจนในเรื่องของการนำรายได้กลับประเทศ ว่าจะมีการแบ่งแยก และตรวจสอบอย่างไร
ซึ่งความไม่แน่นอนของหลักเกณฑ์ดังกล่าว อาจส่งผลกระทบต่อนักลงทุนไทยที่ลงทุนในต่างประเทศ
การลงทุนในกองทุนรวมไทยที่ไปลงทุนในต่างประเทศ จึงจะมีข้อได้เปรียบกว่า ตรงที่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้กำไรจากการลงทุน ..

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

SPONSORED
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon