ถอดรหัสประเด็นร้อน การลงทุนในยุคเศรษฐกิจผันผวน THE WISDOM “Wealth Decoded Exclusive Talk”
ถอดรหัสประเด็นร้อน การลงทุนในยุคเศรษฐกิจผันผวน THE WISDOM “Wealth Decoded Exclusive Talk”
KBank x ลงทุนแมน
KBank x ลงทุนแมน
ช่วงที่ผ่านมา ปฏิเสธไม่ได้ว่าเศรษฐกิจทั่วโลก รวมถึงไทย เจอความท้าทายและความไม่แน่นอนในหลาย ๆ ด้าน
ทั้งจากปัญหาเงินกลับมาเฟ้อ จากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว, สงครามระหว่างยูเครน-รัสเซีย, สงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐอเมริกา หรือแม้กระทั่งความไม่แน่นอนในการจัดตั้งรัฐบาลของประเทศไทย
ซึ่งปัญหาทั้งหมดนี้ ส่งผลโดยตรงต่อโลกการเงิน และการลงทุนของเรา…
เดอะวิสดอมกสิกรไทย จึงได้จัดงาน “Wealth Decoded Exclusive Dinner Talk” ถอดรหัสประเด็นร้อน พร้อมค้นหาโอกาสการลงทุนในยุคเศรษฐกิจผันผวน
เพื่อเป็นแนวทางให้กับลูกค้าวิสดอมนำไปปรับใช้ในการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
เพื่อเป็นแนวทางให้กับลูกค้าวิสดอมนำไปปรับใช้ในการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
งานนี้ได้เชิญนักลงทุนระดับท็อปของประเทศอย่าง คุณเฉลิมเดช ลีวงศ์เจริญ นายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) และ อ.ทิวา ชินธาดาพงศ์ (เซียนมี่)
มาไขเคล็ดลับกลยุทธ์และแลกเปลี่ยนมุมมองการลงทุนกับลูกค้าวิสดอมอย่างใกล้ชิด
มาไขเคล็ดลับกลยุทธ์และแลกเปลี่ยนมุมมองการลงทุนกับลูกค้าวิสดอมอย่างใกล้ชิด
ความน่าสนใจของเรื่องนี้เป็นอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะสรุปให้ฟัง
ลงทุนแมนจะสรุปให้ฟัง
ปี 2566 ถือว่าเป็นอีกหนึ่งปีแห่งความท้าทายของนักลงทุน หลาย ๆ คน
ไม่ว่าจะเป็น ปัจจัยด้านนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (FED) ที่ยังค่อย ๆ ปรับดอกเบี้ยขึ้น เพื่อชะลอความร้อนแรงของอัตราเงินเฟ้อ
ไม่ว่าจะเป็น ปัจจัยด้านนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (FED) ที่ยังค่อย ๆ ปรับดอกเบี้ยขึ้น เพื่อชะลอความร้อนแรงของอัตราเงินเฟ้อ
โดยในปี 2566 อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐอเมริกา ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 4.9%
ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 5.25%
ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 5.25%
อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าปัญหาเรื่องอัตราเงินเฟ้อจะดูคลี่คลายลง
แต่ความขัดแย้งระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา ก็ยังมีความตึงเครียดเพิ่มขึ้นทุก ๆ วัน
แต่ความขัดแย้งระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา ก็ยังมีความตึงเครียดเพิ่มขึ้นทุก ๆ วัน
ซึ่งล่าสุดทางรัฐบาลจีนก็เพิ่งประกาศแบนผลิตภัณฑ์ของ “ไมครอน” บริษัทชิปหน่วยความจำของสหรัฐฯ เป็นการตอบโต้ที่ฝั่งสหรัฐฯ แบนผู้ผลิตชิปของจีน พร้อมจุดชนวนสงครามการค้าครั้งใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น
ข้ามมาในฝั่งของประเทศไทย แม้ว่าไทยจะเลือกตั้งเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังมีความไม่แน่นอนของการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ไปจนถึงความกังวลเรื่องนโยบายในอนาคตของรัฐบาล
อย่างไรดี จากสถิติแล้ว การลงทุนในหุ้นมักจะมีความผันผวนมาก เมื่อมีปัจจัยความไม่แน่นอน
แต่ว่าถ้าความขัดแย้งได้คลี่คลายลง หุ้นจะเป็นหนึ่งสินทรัพย์ที่กลับมาฟื้นตัวได้ดี
แต่ว่าถ้าความขัดแย้งได้คลี่คลายลง หุ้นจะเป็นหนึ่งสินทรัพย์ที่กลับมาฟื้นตัวได้ดี
โดยคุณเฉลิมเดช ลีวงศ์เจริญ นายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) ได้กล่าวว่า
ถ้าพิจารณาจากสถิติในอดีตจะพบว่า ตลาดหุ้นไทยหลังเลือกตั้งมักปรับตัวขึ้น
แต่สำหรับการเลือกตั้งในปี 2566 ตลาดหุ้นไทยกลับถูกแรงเทขายจากนักลงทุนต่างชาติอย่างต่อเนื่อง
จากความกังวลเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ และนโยบายเศรษฐกิจในอนาคตของรัฐบาล
แต่สำหรับการเลือกตั้งในปี 2566 ตลาดหุ้นไทยกลับถูกแรงเทขายจากนักลงทุนต่างชาติอย่างต่อเนื่อง
จากความกังวลเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ และนโยบายเศรษฐกิจในอนาคตของรัฐบาล
เช่น
- นโยบายทลายการผูกขาดและเน้นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง
- นโยบายเก็บภาษีหุ้นแบบ Capital Gain Tax หรือการเก็บภาษีเมื่อขายหุ้นทำกำไร
- นโยบายทลายการผูกขาดและเน้นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง
- นโยบายเก็บภาษีหุ้นแบบ Capital Gain Tax หรือการเก็บภาษีเมื่อขายหุ้นทำกำไร
แน่นอนว่า ปัจจัยเหล่านี้ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย ทำให้ดัชนี SET Index ปรับตัวลดลงกว่า 6% ภายในระยะเวลาเพียง 3 เดือนเท่านั้น
อย่างไรก็ดี หากมองในระยะยาว เหล่านักลงทุนแนว VI หรือ Value Investor ไม่สมควรกังวลกับปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อตลาดทุนในระยะสั้น หรือการขึ้น-ลงของดัชนีในตลาดหุ้นมากนัก
แต่สมควรให้ความสำคัญกับการค้นหาโอกาสที่ซ่อนอยู่ในความผันผวน โดยเลือกลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานที่ดี อยู่ในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และจะสามารถเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว
โดยพิจารณาจากความสามารถทางการแข่งขันว่าประเทศไทย “เก่ง” ด้านใดเป็นสำคัญ..
ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัวจากวิกฤติโรคระบาด ในลักษณะ K-Shaped หรือหมายความว่า แต่ละอุตสาหกรรมฟื้นตัวอย่างไม่เท่าเทียมกัน
ซึ่งอุตสาหกรรม และธุรกิจที่น่าลงทุนในช่วงเวลานี้คงหนีไม่พ้น ธุรกิจการท่องเที่ยว ที่สร้างรายได้คิดเป็น 20% ของ GDP ประเทศไทย และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการ ไม่ว่าจะเป็น
- ธุรกิจโรงพยาบาล
- ธุรกิจโรงแรม
- ธุรกิจอาหาร
- ธุรกิจสปา
- ธุรกิจโรงแรม
- ธุรกิจอาหาร
- ธุรกิจสปา
แน่นอนว่า การที่คนไทยมีพฤติกรรมที่ต้อนรับนักท่องเที่ยว หรือ Service Mind และการที่ประเทศไทยล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติที่สวยงาม เปรียบเสมือนจุดแข็งที่จะทำให้อุตสาหกรรมนี้เติบโตอย่างน่าสนใจ
นอกจากนี้ อีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่น่าสนใจคือ ธุรกิจเครื่องสำอาง
เพราะธุรกิจเครื่องสำอางจัดเป็นกลุ่มที่อยู่รอดได้ในทุกสถานการณ์ ทั้งยังเป็นกลุ่มสินค้าที่คนทั่วโลกรู้จัก เข้าถึง และซื้อได้ง่าย อีกด้วย
เพราะธุรกิจเครื่องสำอางจัดเป็นกลุ่มที่อยู่รอดได้ในทุกสถานการณ์ ทั้งยังเป็นกลุ่มสินค้าที่คนทั่วโลกรู้จัก เข้าถึง และซื้อได้ง่าย อีกด้วย
สุดท้ายแล้ว คุณเฉลิมเดช ลีวงศ์เจริญ แนะนำว่า การลงทุนในยุคเศรษฐกิจผันผวน นักลงทุน VI จะต้องเน้นหาข้อมูลอินไซต์เกี่ยวกับความสามารถทางการแข่งขัน เพื่อเลือกลงทุนในบริษัทที่ใช่
เช่น
- เส้นสายทางธุรกิจหรือสัมปทานที่สร้างความได้เปรียบให้กับบริษัทนั้น ๆ
- ชื่อเสียงของบริษัทหรือแบรนด์ ตลอดจนความใหญ่ของบริษัท เช่น ขนาดโรงงาน หรือจำนวนสาขา
- ผลประกอบการย้อนหลัง ที่เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของบริษัททั้งในอดีต และในปัจจุบัน
- ชื่อเสียงของบริษัทหรือแบรนด์ ตลอดจนความใหญ่ของบริษัท เช่น ขนาดโรงงาน หรือจำนวนสาขา
- ผลประกอบการย้อนหลัง ที่เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของบริษัททั้งในอดีต และในปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี หากนักลงทุนท่านไหนไม่มีเวลาศึกษาข้อมูล แนะนำให้ลงทุนผ่านเครื่องมือการลงทุนต่าง ๆ เช่น ซื้อกองทุนอิงดัชนี (Index Fund) หรือซื้อหุ้นกู้, พันธบัตรรัฐบาล หรือทองคำ
โดยเลือกจังหวะในการเข้าซื้อที่ใช่ และเน้นกระจายความเสี่ยง
โดยเลือกจังหวะในการเข้าซื้อที่ใช่ และเน้นกระจายความเสี่ยง
มาถึงตรงนี้ เราคงพอเห็นถึงมุมมองการลงทุนในตลาดหุ้นไทย จากเซียน VI ระดับท็อปของประเทศกันบ้างแล้ว
ทีนี้เราลองมาดูความคิดเห็นจากเซียนหุ้นจีน อย่าง อ.ทิวา ชินธาดาพงศ์ (เซียนมี่) กันบ้าง
ปัจจุบัน เซียนมี่แบ่งพอร์ตการลงทุนในประเทศไทยสัดส่วน 70% และต่างประเทศ 30%
สำหรับหุ้นไทย ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะมีความไม่แน่นอนสูง จากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่
แต่ในอนาคตประเทศไทยยังจะสามารถเติบโตได้ดีจากโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และการที่ประเทศไทยเปรียบเสมือนฮับเศรษฐกิจสำคัญของภูมิภาคอาเซียน
แต่ในอนาคตประเทศไทยยังจะสามารถเติบโตได้ดีจากโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และการที่ประเทศไทยเปรียบเสมือนฮับเศรษฐกิจสำคัญของภูมิภาคอาเซียน
โดย 3 ธีมการลงทุนที่น่าสนใจในตลาดไทย คือ
- Domestic Play หรือธุรกิจที่พึ่งพาเกี่ยวกับการบริโภคภายในประเทศ จะเติบโตอย่างมั่นคง เช่น นโยบายเงินดิจิทัล หรือนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้น หลังจากการจัดตั้งรัฐบาลเสร็จสิ้น
- Tourism หรืออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย ที่จะฟื้นตัวได้ดีจากการที่ไทยเป็นจุดมุ่งหมายของเหล่านักท่องเที่ยว โดยเฉพาะชาวจีน
- Carbon Credit หรือตลาดซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิต ซึ่งเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่จะช่วยลดแก๊สเรือนกระจก และเป็นที่หมายตาของเหล่าบริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลก
สำหรับหุ้นจีน ถึงแม้ว่าจะเจอปัญหามากมาย ทั้งมาตรการคุมเข้มเรื่องโรคระบาด, การที่รัฐบาลจีนเข้มงวดกับธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรม ไปจนถึงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกา
จีนก็ยังเป็นหนึ่งประเทศที่เติบโตได้อย่างน่าสนใจ
เพราะในไตรมาสล่าสุด จีนก็ยังสามารถทำ GDP เติบโตได้ถึง 4.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน
เพราะในไตรมาสล่าสุด จีนก็ยังสามารถทำ GDP เติบโตได้ถึง 4.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน
และเมื่อไม่นานนี้ จำนวนมหาเศรษฐีในจีนที่มีทรัพย์สินมากกว่า 34,000 ล้านบาท (Billionaire) ก็เติบโตจนแซงประเทศสหรัฐอเมริกาไปเป็นที่เรียบร้อย
ในแง่ของโครงสร้างพื้นฐาน จีนถือว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ทั้งในด้านการขนส่ง, ดิจิทัลและเทคโนโลยี ไปจนถึงด้านการศึกษา
โดยในปี 2565 จีนมีนักศึกษาที่จบการศึกษาในสาขา STEM (Science, Technology, Engineering Mathematics) มากกว่า 4.7 ล้านคน ในขณะที่สหรัฐอเมริกามีอยู่เพียงหลักแสนคน
ที่น่าสนใจคือ จีนถือเป็นประเทศแรก ๆ ที่ทางรัฐบาลนำสกุลเงินดิจิทัลมาใช้อย่างเป็นทางการ
โดย Digital Yuan จะถูกพัฒนาให้แล้วเสร็จภายในปีนี้ และจะมาเปลี่ยนแปลงโลกการเงินของทั้งชาวจีน และชาวต่างชาติ อยู่ไม่น้อย
โดย Digital Yuan จะถูกพัฒนาให้แล้วเสร็จภายในปีนี้ และจะมาเปลี่ยนแปลงโลกการเงินของทั้งชาวจีน และชาวต่างชาติ อยู่ไม่น้อย
แน่นอนว่า อุตสาหกรรมที่จะได้รับผลประโยชน์จากปัจจัยบวกเหล่านี้ คงหนีไม่พ้น
- อุตสาหกรรมเทคโนโลยี และ Internet of Things เช่น Xiaomi และ Bilibili
- อุตสาหกรรมที่พึ่งพาการบริโภคภายในประเทศ อย่าง Kweichow Moutai และ Haidilao
- อุตสาหกรรมที่พึ่งพาการบริโภคภายในประเทศ อย่าง Kweichow Moutai และ Haidilao
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในประเทศจีนนั้นเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ทั้งจากปัจจัยภายในประเทศ และปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ นักลงทุนจึงสมควรศึกษาให้ดีก่อนลงทุน
แล้วในมุมมองของ เซียนมี่ กลยุทธ์การลงทุนในตลาดจีนมีอะไรบ้าง ?
1. ลงทุนในธีมที่สอดคล้องกับ Vision ของรัฐบาลจีน
นักลงทุนสมควรศึกษาและเข้าใจแนวคิดของรัฐบาลจีน พร้อมนำนโยบายต่าง ๆ มาวิเคราะห์เพื่อค้นหาอุตสาหกรรม และธุรกิจที่จะได้รับผลประโยชน์
2. ลงทุนในธุรกิจที่มีพื้นฐานดี มี Valuation ไม่สูงมาก และอยู่ในอุตสาหกรรมที่ไม่มีการแข่งขันสูง
3. วิเคราะห์ความสามารถของผู้บริหาร ในการนำพาบริษัทสู่เป้าหมายในอนาคต
4. แบ่งไม้การลงทุนไว้หลาย ๆ ไม้ และทยอยลงทุนหุ้นพื้นฐานดี เวลาตลาดผันผวนหนัก
ซึ่งนักลงทุนสมควรวางแผนการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง (Diversification) แบ่งเป็น
ลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย และในบริษัทที่เราศึกษามาดีพอราว ๆ 70%
และลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง อีก 30%
ลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย และในบริษัทที่เราศึกษามาดีพอราว ๆ 70%
และลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง อีก 30%
นอกจากนี้ คุณวีระพล บดีรัฐ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายพัฒนาการให้คำปรึกษาลูกค้า ธนาคารกสิกรไทย ได้กล่าวปิดท้ายว่า
ปัจจุบันเศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่น่อนสูง จากทั้งปัจจัยมหภาค และปัจจัยจุลภาค ทำให้นักลงทุนหลาย ๆ คนเริ่มย้ายการลงทุนจากสินทรัพย์เสี่ยง ไปยังสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้ และกองทุนเสี่ยงต่ำ จึงกลายมาเป็นหนึ่งในทางเลือกการลงทุนชั้นดี ที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม
อย่างไรก็ดี สิ่งที่นักลงทุนควรให้ความสำคัญคือการตอบตัวเองก่อนว่า เราลงทุนไปเพื่ออะไร และเป้าหมายการลงทุนของเราคืออะไร
สำหรับนักลงทุนระยะยาว ควรศึกษาพื้นฐานบริษัท และความได้เปรียบทางการแข่งขัน ที่จะทำให้บริษัทเติบโตได้ดีในอนาคต
สำหรับนักลงทุนสายเก็งกำไร ควรมีวินัยที่ดี เมื่อเวลาหุ้นขึ้นควร Let Profit Run
แต่เมื่อหุ้นลง ควรมีวินัยและ Cut Loss
สำหรับนักลงทุนสายเก็งกำไร ควรมีวินัยที่ดี เมื่อเวลาหุ้นขึ้นควร Let Profit Run
แต่เมื่อหุ้นลง ควรมีวินัยและ Cut Loss
เพราะสุดท้ายแล้ว การลงทุนด้วยความเข้าใจ จะทำให้เรามีความสุข และประสบความสำเร็จด้านการลงทุนในระยะยาว นั่นเอง
มาถึงตรงนี้ เราคงพอสรุปได้ว่า ถึงแม้ว่า ปี 2566 จะเป็นอีกหนึ่งปีแห่งความท้าทายของเหล่านักลงทุนหลาย ๆ คน
แต่ทุก ๆ วิกฤติก็ยังมีโอกาสซ่อนอยู่เสมอ จึงเป็นที่มาของงานสัมมนาให้ความรู้วิเคราะห์การลงทุนที่เดอะวิสดอมกสิกรไทยจัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เพื่อเป็นการอัปเดตทิศทางเศรษฐกิจ และแนวทางในการตัดสินใจลงทุนให้กับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ..
เพื่อเป็นการอัปเดตทิศทางเศรษฐกิจ และแนวทางในการตัดสินใจลงทุนให้กับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ..
หมายเหตุ : ผลตอบแทนดัชนี SET Index ย้อนหลัง 3 เดือน ณ วันที่ 2 มิถุนายน 2566
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน