กองทุน ETF คืออะไร ? ทำไมควรลงทุนใน ETF

กองทุน ETF คืออะไร ? ทำไมควรลงทุนใน ETF

กองทุน ETF คืออะไร ? ทำไมควรลงทุนใน ETF
ลงทุนแมน x StashAway
การลงทุนกลายเป็นสิ่งจำเป็น สำหรับผู้คนในยุคปัจจุบัน
เพราะการลงทุนนั้นสามารถปกป้องมูลค่าเงินของเราจากเงินเฟ้อ และสร้างผลตอบแทนในระยะยาวได้ดีกว่าเพียงฝากเงินไว้กับธนาคาร
โดยตัวเลือกที่ผู้คนเลือกสำหรับลงทุน มีตั้งแต่ หุ้น กองทุนรวม ตราสารอนุพันธ์ อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ จนถึงคริปโทเคอร์เรนซี
แต่มีอีกตัวเลือกหนึ่งที่มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน แต่คนไทยยังไม่ค่อยพูดถึงกันนั่นคือ ETF
ผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ที่ออกแบบจากการผสมผสานข้อดีของ “กองทุน” และ “หุ้น” เข้าด้วยกัน
ETF คืออะไร ? ทำไมนักลงทุนทั้งมือเก่าและใหม่ควรสนใจ ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ETF หรือ Exchange Traded Fund เป็นกองทุนรวมประเภทหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่มีนโยบายลงทุนตามดัชนีต่าง ๆ คล้ายกับกองทุนรวมดัชนี แต่มีค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่า และยังสามารถซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ทันทีเช่นเดียวกับหุ้น
ข้อดีของ ETF คือมีการกระจายความเสี่ยงสินทรัพย์ลงทุนที่หลากหลาย มีผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับดัชนีที่อ้างอิง และลดข้อเสียบางอย่างของกองทุนรวมออกไป เช่น ค่าธรรมเนียมที่สูง และการซื้อ-ขายได้เฉพาะสิ้นวัน
ส่งผลให้ ETF กลายเป็นที่นิยมสำหรับนักลงทุนทั่วโลกในช่วงเวลานี้
โดยช่วงครึ่งแรกของปี 2021 มีกระแสเงินไหลเข้า ETF ถึง 21 ล้านล้านบาท
หากนับปริมาณเงินจากทั่วโลกที่ลงทุนใน ETF จะสูงถึง 260 ล้านล้านบาท
ซึ่งเติบโต 6 เท่าภายในเวลาเพียง 10 ปีเท่านั้น
แล้วรู้หรือไม่ว่า ในปี 2016 หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายมากที่สุด 15 อันดับแรก มี ETF อยู่ทั้งหมด 14 อันดับ โดยมีเพียง Apple หุ้นเดียวที่ติดอันดับเท่านั้น
แล้วเทคนิคการคัดเลือก ETF มีอะไรบ้าง ?
อันดับแรก คือ เลือกกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนที่เราสนใจ
ETF ก็คล้ายกับกองทุนรวม ที่แต่ละกองทุนจะมีนโยบายการลงทุนที่แตกต่างกันไป
ตั้งแต่สินทรัพย์ประเภทตราสารหนี้ หุ้นสามัญ ทองคำ และ REITs
หรือเจาะจงการลงทุนเฉพาะภูมิภาค เช่น สหรัฐอเมริกา จีน ตลาดเกิดใหม่
หรือแม้กระทั่งรายอุตสาหกรรม อย่างเทคโนโลยี พลังงาน ไบโอเทคโนโลยี ก็ตาม
ซึ่งจะเห็นได้ว่า ETF มีให้เลือกหลากหลายประเภท
ดังนั้นเราจึงควรศึกษานโยบายการลงทุนอย่างละเอียด เพื่อที่จะเลือก ETF ได้ตรงใจมากที่สุด
แต่การดูเพียงแค่นโยบายการลงทุนอาจไม่เพียงพอ
สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญถัดมาคือ Tracking Error หรือตัวชี้วัดความแตกต่างของอัตราผลตอบแทน ETF และดัชนีที่เทียบกัน
เพราะต้องไม่ลืมว่า ETF เป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เน้นสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนี
ดังนั้นหาก Tracking Error สูง แสดงว่า ETF นั้นไม่น่าจะดีแล้ว
ซึ่งหากเลือก ETF ที่มี Tracking Error สูง จะส่งผลให้การจัดสรรสินทรัพย์ในพอร์ตไม่มีประสิทธิภาพ
และอาจทำให้เราได้รับผลตอบแทนน้อยกว่าที่ควรจะเป็น
สรุปควรเลือก ETF ที่มีค่า Tracking Error ต่ำ ๆ
สิ่งที่ต้องดูต่อมาคือ ค่าธรรมเนียม โดยค่าบริหารจัดการกองทุน ETF จะอยู่ประมาณ 0.02% - 0.75% เท่านั้น
ลองนึกว่า หากมีกองทุนสองตัวที่ให้ผลตอบแทนเท่ากัน
แต่ตัวหนึ่งมีค่าธรรมเนียม 0.2% ขณะที่อีกตัวมีค่าธรรมเนียมที่ 1%
ถึงแม้จะต่างกันเพียงเล็กน้อย แต่ถ้าหากเราลงทุนเป็นระยะเวลาที่ยาว
ส่วนต่างนี้ก็มีผลกับกำไรขาดทุนของพอร์ตเราไม่น้อยเลยทีเดียว
อันดับสุดท้ายที่ไม่ควรพลาด คือสภาพคล่อง หรือการที่เราสามารถซื้อขายได้ตามต้องการ
เราควรเลือก ETF ที่มีมูลค่าและปริมาณการซื้อขายสูง ๆ
และมีส่วนต่างราคาระหว่างราคาเสนอซื้อกับราคาเสนอขายต่ำ
เพื่อให้มั่นใจว่า เราจะสามารถทำการซื้อ-ขายได้ง่ายตามราคาตลาด ไม่ต้องลดราคาให้ต่ำกว่าในเวลาที่เราต้องการขาย จนทำให้ได้รับผลตอบแทนที่น้อยกว่าควรจะเป็น
และทั้งหมดนี้ คือเทคนิคการเลือก ETF เบื้องต้นที่นักลงทุนควรรู้
สำหรับใครที่สนใจลงทุน แต่ไม่มีเวลาหรือทักษะเลือกสินทรัพย์ลงทุนและบริหารพอร์ตด้วยตัวเอง
ซึ่งเป็นสองปัจจัยสำคัญในการรักษาพอร์ตการลงทุนให้สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
ขอแนะนำ StashAway แพลตฟอร์มบริหารการลงทุนใหญ่ที่สุดใน Southeast Asia
ที่มีกลยุทธ์การลงทุน ERAA™ ที่จะออกแบบพอร์ตโดยกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลกอย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว โดยรักษาระดับความเสี่ยงตามที่กำหนด พร้อมมีการปรับพอร์ตการลงทุนตามการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจอย่างเหมาะสม
ซึ่งจะช่วยให้ทุกคนสามารถสร้างพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมกับตนเองมากยิ่งขึ้น และบรรลุได้ตามเป้าหมายทางการเงินที่วางไว้
โดย StashAway เกิดขึ้นมาเพื่อแก้ 5 ปัญหาหลักดังนี้
1. การกระจายการลงทุน (Diversification)ไม่เพียงพอ
2. ความเข้าใจเรื่องความเสี่ยงในการลงทุนมีจำกัด
3. ความซับซ้อนในการลงทุนต่างประเทศ และข้อจำกัดต่างๆ ในการลงทุน
4. การใช้อารมณ์ในการลงทุน
5. ค่าธรรมเนียมที่สูง
นั่นจึงทำให้ StashAway กระจายการลงทุนใน ETF ทั่วโลก ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลทางเศรษฐกิจและตลาดเท่านั้น โดยไม่มีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง
ซึ่งการลงทุนกับ StashAway ก็ง่ายดาย โดยเลือกพอร์ตการลงทุนได้ 2 ประเภท คือ
1. General Investing พอร์ตการลงทุนที่เราเลือกระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ด้วยตัวเอง
ซึ่งในแพลตฟอร์มจะใช้ StashAway Risk Index (SRI) เป็นระดับความเสี่ยงโดยมีให้เลือกมากถึง 12 ระดับตั้งแต่ SRI 6.5%-36%
เช่น ถ้าเราเลือกค่า SRI ที่ 10% หมายความว่าพอร์ตจะมีโอกาสเพียงแค่ 1% ที่จะขาดทุนเกิน 10% ของมูลค่าพอร์ตใน 1 ปี
2. Goal-based พอร์ตการลงทุนเพื่อเป้าหมายทางการเงินโดยเฉพาะของแต่ละบุคคล เราเพียงแค่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเป้าหมายการลงทุน แล้วระบบจะทำการคำนวณเงินเป้าหมาย แนะนำระดับความเสี่ยงตามระยะเวลา สร้างแผนการลงทุนรายเดือน นอกจากนี้ ระบบจะคอยแนะนำให้ลดความเสี่ยงลงเมื่อใกล้ถึงเป้าหมาย เพื่อลดความผันผวนของพอร์ตเมื่อใกล้ที่เราจะต้องใช้เงิน
หลังจากเลือกพอร์ตการลงทุนที่ตรงใจเสร็จเรียบร้อย StashAway จะนำเงินไปกระจายลงทุนใน ETF ทั่วโลกให้อัตโนมัติ ซึ่งเราไม่ต้องมานั่งเลือกสินทรัพย์ลงทุนเอง หรือติดตามพอร์ตเลย
โดยทั้งหมดนี้ จะเก็บค่าธรรมเนียมเพียง 0.2% - 0.8% ต่อปีเท่านั้น ไม่มีค่าธรรมเนียมยิบย่อยเพิ่ม (รวมค่าธรรมเนียมการโอนเงินระหว่างประเทศ, ค่าธรรมเนียมซื้อ-ขายสินทรัพย์ และค่าธรรมเนียมผู้รับฝากทรัพย์สิน เรียบร้อยแล้ว)
บลจ. สแทชอเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุนส่วนบุคคล และมีธนาคารกสิกรไทยเป็นผู้รับฝากทรัพย์สิน
หากสนใจ สามารถดาวน์โหลด StashAway ได้ที่
iOS : https://apps.apple.com/sg/app/stashaway-invest-and-save/id1229966330
Android : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.awp.stashaway&hl=en&gl=US

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

SPONSORED
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon