กรณีศึกษา 60 ปี ไทยออยล์ บริษัทโรงกลั่นน้ำมัน ที่มีขนาดใหญ่สุดในประเทศไทย
กรณีศึกษา 60 ปี ไทยออยล์ บริษัทโรงกลั่นน้ำมัน ที่มีขนาดใหญ่สุดในประเทศไทย
ไทยออยล์ X ลงทุนแมน
ไทยออยล์ X ลงทุนแมน
ปัจจุบันโรงกลั่นนํ้ามันในประเทศไทยมีอยู่ 6 แห่ง
แต่รู้หรือไม่ว่า โรงกลั่นน้ำมันที่มีขนาดใหญ่และมีอัตราการกลั่นน้ำมันสูงที่สุดในประเทศ
ก็คือโรงกลั่นน้ำมันไทยออยล์
แต่รู้หรือไม่ว่า โรงกลั่นน้ำมันที่มีขนาดใหญ่และมีอัตราการกลั่นน้ำมันสูงที่สุดในประเทศ
ก็คือโรงกลั่นน้ำมันไทยออยล์
โดยสามารถกลั่นน้ำมันต่อวันได้ถึง 275,000 บาร์เรล
หรือคิดเป็น 22% ของอัตราการกลั่นน้ำมันทั้งหมดในประเทศ
หรือคิดเป็น 22% ของอัตราการกลั่นน้ำมันทั้งหมดในประเทศ
เมื่ออัตราการกลั่นน้ำมันสูงขนาดนี้
ก็ย่อมส่งผลให้ไทยออยล์กลายเป็นผู้จำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำเร็จรูปอันดับหนึ่ง
โดยมีส่วนแบ่งตลาด 31% ของปริมาณน้ำมันสำเร็จรูปที่ขายในประเทศ
ก็ย่อมส่งผลให้ไทยออยล์กลายเป็นผู้จำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำเร็จรูปอันดับหนึ่ง
โดยมีส่วนแบ่งตลาด 31% ของปริมาณน้ำมันสำเร็จรูปที่ขายในประเทศ
เรื่องนี้ใครจะคิดว่าหากเราย้อนกลับไปเมื่อ 60 ปีที่แล้ว
ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของบริษัท ณ วันนั้น โรงกลั่นไทยออยล์ กลั่นน้ำมันได้เพียง 35,000 บาร์เรลต่อวัน
แต่ปัจจุบันสามารถกลั่นน้ำมันได้มากกว่าเดิมเกือบ 8 เท่าเลยทีเดียว
ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของบริษัท ณ วันนั้น โรงกลั่นไทยออยล์ กลั่นน้ำมันได้เพียง 35,000 บาร์เรลต่อวัน
แต่ปัจจุบันสามารถกลั่นน้ำมันได้มากกว่าเดิมเกือบ 8 เท่าเลยทีเดียว
ที่น่าสนใจ หลายคนอาจไม่รู้ว่า เส้นทางธุรกิจตลอด 60 ปี
บริษัทแห่งนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของคนไทยอยู่หลายอย่างเลยทีเดียว
บริษัทแห่งนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของคนไทยอยู่หลายอย่างเลยทีเดียว
ส่วนอีกเรื่องที่น่าสนใจไม่แพ้กัน
ก็คือในอนาคตไทยออยล์ จะไม่ได้พึ่งพาแค่ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันอย่างเดียว
แต่ขยายไปยังธุรกิจปลายน้ำอย่าง ธุรกิจปิโตรเคมี ที่เป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง
จนถึงการลงทุนธุรกิจใหม่ ๆ ที่เป็น New S-Curve เพื่อก้าวสู่การเป็นบริษัทพลังงานที่ยั่งยืน
ก็คือในอนาคตไทยออยล์ จะไม่ได้พึ่งพาแค่ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันอย่างเดียว
แต่ขยายไปยังธุรกิจปลายน้ำอย่าง ธุรกิจปิโตรเคมี ที่เป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง
จนถึงการลงทุนธุรกิจใหม่ ๆ ที่เป็น New S-Curve เพื่อก้าวสู่การเป็นบริษัทพลังงานที่ยั่งยืน
เรื่องราวทั้งหมดนี้น่าสนใจและน่าติดตามมากแค่ไหน
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ย้อนกลับไป 60 ปีที่แล้ว รัฐบาลไทยในยุคนั้น ได้สังเกตเห็นว่าการบริโภคน้ำมันภายในประเทศ
กำลังเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ แต่กลับไม่มีโรงกลั่นน้ำมันดิบของคนไทยเลย
ผลที่ตามมาคือ ในแต่ละปีประเทศไทยต้องนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศด้วยเม็ดเงินมหาศาล
กำลังเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ แต่กลับไม่มีโรงกลั่นน้ำมันดิบของคนไทยเลย
ผลที่ตามมาคือ ในแต่ละปีประเทศไทยต้องนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศด้วยเม็ดเงินมหาศาล
รัฐบาลไทยจึงมีแนวความคิดให้นักลงทุนไทยเข้ามาสร้างโรงกลั่น
โดยคุณเชาว์ เชาว์ขวัญยืน ก็ได้ยื่นข้อเสนอขอตั้งโรงกลั่นน้ำมัน และได้รับเลือกในที่สุด
พร้อมกับได้รับสิทธิในการทำธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน
ซึ่งในเวลานั้นก็มีบริษัท Shell และบริษัท Caltex เป็นผู้ร่วมทุนด้วย
โดยคุณเชาว์ เชาว์ขวัญยืน ก็ได้ยื่นข้อเสนอขอตั้งโรงกลั่นน้ำมัน และได้รับเลือกในที่สุด
พร้อมกับได้รับสิทธิในการทำธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน
ซึ่งในเวลานั้นก็มีบริษัท Shell และบริษัท Caltex เป็นผู้ร่วมทุนด้วย
โดยธุรกิจก็ประสบความสำเร็จอย่างเกินคาด
ทำให้มีการเพิ่มทุนจดทะเบียนจนในเวลาต่อมาในปี พ.ศ. 2522 ปตท. ได้เข้าถือหุ้น 49%
จากนั้นไทยออยล์ก็มีการลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อขยายกำลังการผลิตของโรงกลั่น
ทำให้มีการเพิ่มทุนจดทะเบียนจนในเวลาต่อมาในปี พ.ศ. 2522 ปตท. ได้เข้าถือหุ้น 49%
จากนั้นไทยออยล์ก็มีการลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อขยายกำลังการผลิตของโรงกลั่น
แม้ทุกอย่างจะดูสวยหรู แต่ก็มีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเมื่อในปี พ.ศ. 2541
บริษัทต้องเผชิญกับความท้าทายเมื่อเศรษฐกิจในประเทศตกต่ำ ส่งผลต่อรายได้
จนทำให้บริษัทต้องเจรจาปรับปรุงโครงสร้างหนี้
แต่ด้วยการแก้ปัญหาได้ถูกจุดทำให้ในอีก 2 ปีต่อมา ไทยออยล์ ก็สามารถฟื้นฟูกิจการบริษัทได้
พร้อมกับผลการดำเนินธุรกิจที่เติบโตต่อเนื่อง
บริษัทต้องเผชิญกับความท้าทายเมื่อเศรษฐกิจในประเทศตกต่ำ ส่งผลต่อรายได้
จนทำให้บริษัทต้องเจรจาปรับปรุงโครงสร้างหนี้
แต่ด้วยการแก้ปัญหาได้ถูกจุดทำให้ในอีก 2 ปีต่อมา ไทยออยล์ ก็สามารถฟื้นฟูกิจการบริษัทได้
พร้อมกับผลการดำเนินธุรกิจที่เติบโตต่อเนื่อง
จนมาถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญก็คือในปี พ.ศ. 2547
บริษัทฯ ได้เปลี่ยนสถานะเป็นบริษัท มหาชน ทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ
และเพียงแค่วันแรกก็มีการซื้อขายสูงสุดถึง 13,016 ล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าที่สูงที่สุด
เป็นประวัติการณ์ ในขณะนั้น
บริษัทฯ ได้เปลี่ยนสถานะเป็นบริษัท มหาชน ทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ
และเพียงแค่วันแรกก็มีการซื้อขายสูงสุดถึง 13,016 ล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าที่สูงที่สุด
เป็นประวัติการณ์ ในขณะนั้น
โดยปัจจุบันไทยออยล์ กลายเป็นบริษัทพลังงานที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) 115,772 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 26 ตุลาคม 2564) โดย ปตท. ยังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อยู่ที่ 45.03%
คำถามก็คือเบื้องหลังความสำเร็จทั้งหมดนี้ เกิดจากอะไร ?
เชื่อหรือไม่ว่าตลอดเวลา 60 ปี ไทยออยล์ คือ บริษัทพลังงานคนไทยที่ไม่เคยหยุดนิ่ง
เพราะนอกจากการเป็นโรงกลั่นน้ำมันเอกชนแห่งแรกของประเทศแล้วนั้น
เพราะนอกจากการเป็นโรงกลั่นน้ำมันเอกชนแห่งแรกของประเทศแล้วนั้น
ไทยออยล์ ยังพัฒนาโรงกลั่นน้ำมันของตัวเองให้มีเทคโนโลยีทันสมัย ซึ่งช่วยให้ผลิตน้ำมันสำเร็จรูปมีคุณภาพสูง
ทำให้โรงกลั่นของไทยออยล์ได้รับการยกย่องว่ามีคุณภาพอันดับต้น ๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ซึ่งพิสูจน์ได้จากรางวัลโรงกลั่นน้ำมันด้านความยั่งยืนระดับโลก
จากดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ ที่ได้รับต่อเนื่องในทุก ๆ ปี
ซึ่งพิสูจน์ได้จากรางวัลโรงกลั่นน้ำมันด้านความยั่งยืนระดับโลก
จากดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ ที่ได้รับต่อเนื่องในทุก ๆ ปี
จากการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ก็เลยทำให้บริษัทแห่งนี้มีโครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่ง
ปี 2561 สินทรัพย์รวม 268,613 ล้านบาท รายได้จากการขาย 389,042 ล้านบาท
ปี 2562 สินทรัพย์รวม 283,445 ล้านบาท รายได้จากการขาย 361,768 ล้านบาท
ปี 2563 สินทรัพย์รวม 306,188 ล้านบาท รายได้จากการขาย 242,840 ล้านบาท
ปี 2561 สินทรัพย์รวม 268,613 ล้านบาท รายได้จากการขาย 389,042 ล้านบาท
ปี 2562 สินทรัพย์รวม 283,445 ล้านบาท รายได้จากการขาย 361,768 ล้านบาท
ปี 2563 สินทรัพย์รวม 306,188 ล้านบาท รายได้จากการขาย 242,840 ล้านบาท
จะเห็นว่าสินทรัพย์ของบริษัทแห่งนี้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
ส่วนปีล่าสุด 2563 ที่รายได้จากการขายลดลงก็มาจากเหตุผลหลัก 2 ประการ
ส่วนปีล่าสุด 2563 ที่รายได้จากการขายลดลงก็มาจากเหตุผลหลัก 2 ประการ
1. สงครามราคาน้ำมันระหว่าง ซาอุดีอาระเบียกับรัสเซียในช่วงปี 2563
ที่ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบอ่อนตัวลงเหลืออยู่ 20 กว่าดอลล่าร์สหรัฐต่อบาร์เรล
ที่ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบอ่อนตัวลงเหลืออยู่ 20 กว่าดอลล่าร์สหรัฐต่อบาร์เรล
2. การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 ทั่วโลก นอกจากส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจแล้วนั้น
ก็ยังมีการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ สายการบินต่าง ๆ ทั่วโลกต้องหยุดบิน
ส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันในภาคการท่องเที่ยวและการขนส่งลดลงอย่างมาก
แน่นอนย่อมส่งผลให้การกลั่นน้ำมันซึ่งเป็นธุรกิจหลักลดน้อยตามลงไปด้วย
เหตุการณ์นี้ก็น่าจะเป็นเพียงแค่ชั่วคราว
เพราะหากสังเกต ณ วันนี้หลายประเทศสามารถควบคุมการระบาดโควิด 19 ได้ดีขึ้น
ก็ยังมีการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ สายการบินต่าง ๆ ทั่วโลกต้องหยุดบิน
ส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันในภาคการท่องเที่ยวและการขนส่งลดลงอย่างมาก
แน่นอนย่อมส่งผลให้การกลั่นน้ำมันซึ่งเป็นธุรกิจหลักลดน้อยตามลงไปด้วย
เหตุการณ์นี้ก็น่าจะเป็นเพียงแค่ชั่วคราว
เพราะหากสังเกต ณ วันนี้หลายประเทศสามารถควบคุมการระบาดโควิด 19 ได้ดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ไทยออยล์ ไม่ได้มีแค่ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันเท่านั้น
เพราะจริง ๆ แล้วบริษัทแห่งนี้ ได้ลงทุนในกิจการที่เกี่ยวเนื่องอีกหลายกิจการ อย่างเช่น
ธุรกิจผลิตปิโตรเคมีขั้นต้น, ธุรกิจผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน, ธุรกิจผลิตไฟฟ้า,
ธุรกิจเอทานอล, ธุรกิจสารทำละลาย
อีกทั้งด้วยเวลานี้กำลังมีดิสรัปชันในหลาย ๆ อุตสาหกรรมทั่วโลก ทั้งการเปลี่ยนผ่านพลังงาน (Energy Transition) จากน้ำมันเชื้อเพลิงสู่พลังงานไฟฟ้า รวมถึงกระแสการใส่ใจสิ่งแวดล้อม (Environmental Pressure)
เพราะจริง ๆ แล้วบริษัทแห่งนี้ ได้ลงทุนในกิจการที่เกี่ยวเนื่องอีกหลายกิจการ อย่างเช่น
ธุรกิจผลิตปิโตรเคมีขั้นต้น, ธุรกิจผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน, ธุรกิจผลิตไฟฟ้า,
ธุรกิจเอทานอล, ธุรกิจสารทำละลาย
อีกทั้งด้วยเวลานี้กำลังมีดิสรัปชันในหลาย ๆ อุตสาหกรรมทั่วโลก ทั้งการเปลี่ยนผ่านพลังงาน (Energy Transition) จากน้ำมันเชื้อเพลิงสู่พลังงานไฟฟ้า รวมถึงกระแสการใส่ใจสิ่งแวดล้อม (Environmental Pressure)
ไทยออยล์เองก็ปรับตัวด้วยการต่อยอดจากธุรกิจโรงกลั่นสู่ธุรกิจปิโตรเคมีและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง
เห็นได้จากการที่ไทยออยล์ได้ใช้เงินลงทุนมหาศาลจำนวน 150,000 ล้านบาท
กับโครงการ Clean Fuel Project หรือ CFP เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
และขยายกำลังการผลิตน้ำมันปิโตรเลียม
เห็นได้จากการที่ไทยออยล์ได้ใช้เงินลงทุนมหาศาลจำนวน 150,000 ล้านบาท
กับโครงการ Clean Fuel Project หรือ CFP เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
และขยายกำลังการผลิตน้ำมันปิโตรเลียม
และเมื่อโครงการนี้แล้วเสร็จ ไทยออยล์จะตอบโจทย์การผลิตน้ำมันสะอาดตามมาตรฐาน
Euro 5 ได้ และยังมีผลพลอยได้ทางอ้อมที่จะทำให้สามารถต่อยอดธุรกิจปิโตรเคมีในอนาคต
Euro 5 ได้ และยังมีผลพลอยได้ทางอ้อมที่จะทำให้สามารถต่อยอดธุรกิจปิโตรเคมีในอนาคต
รวมถึงการเริ่มลงทุนโดยเข้าถือหุ้น 15.38% ในบริษัท PT Chandra Asri Petrochemical Tbk (CAP) ซึ่งเป็นผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ครบวงจรชั้นนำรายใหญ่ที่สุดของประเทศอินโดนีเซีย
นอกจากนี้ ไทยออยล์ยังมองการณ์ไกล วางแผนการขยายตลาด และการส่งออกผลิตภัณฑ์ไปสู่ตลาดต่างประเทศ เน้นภูมิภาคที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงหรือมีฐานการลงทุนที่ไทยออยล์ดำเนินการอยู่แล้ว
และการขยายพอร์ตโฟลิโอโดยลงทุนในธุรกิจใหม่ที่เรียกว่า New S-Curve เพื่อต่อยอดกำไรให้ไปได้ไกลยิ่งขึ้น
และการขยายพอร์ตโฟลิโอโดยลงทุนในธุรกิจใหม่ที่เรียกว่า New S-Curve เพื่อต่อยอดกำไรให้ไปได้ไกลยิ่งขึ้น
ทีนี้หลายคนคงสงสัยว่า การปรับตัวครั้งใหญ่ ของไทยออยล์ มีเป้าหมายอะไร ?
รู้หรือไม่ว่าปัจจุบันรายได้ธุรกิจโรงกลั่นปิโตรเลียมมีสัดส่วนกว่า 70% จากรายได้ทั้งหมด
รู้หรือไม่ว่าปัจจุบันรายได้ธุรกิจโรงกลั่นปิโตรเลียมมีสัดส่วนกว่า 70% จากรายได้ทั้งหมด
เพียงแต่วันนี้ ธุรกิจการกลั่น มีการประเมินว่าในอนาคตก็อาจหนีไม่พ้นที่จะถูกดิสรัปชั่นจากธุรกิจข้ามอุตสาหกรรม
หากยังคิดที่จะพึ่งพาแค่ธุรกิจการกลั่นอย่างเดียวเหมือนในอดีต
อาจไม่ใช่คำตอบที่จะทำให้ธุรกิจตัวเองยั่งยืนอยู่ได้ในอนาคต
หากยังคิดที่จะพึ่งพาแค่ธุรกิจการกลั่นอย่างเดียวเหมือนในอดีต
อาจไม่ใช่คำตอบที่จะทำให้ธุรกิจตัวเองยั่งยืนอยู่ได้ในอนาคต
สิ่งที่ ไทยออยล์ เลือกคือการปรับเปลี่ยนวิธีคิดการดำเนินธุรกิจให้เข้ากับโลกที่มันเปลี่ยนแปลง
จากธุรกิจปิโตรเลียมก็ต่อยอดไปสู่ธุรกิจปิโตรเคมี โดยจะเน้นไปที่กลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าสูงเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ขณะเดียวกันก็หันมาให้ความสนใจในพอร์ตการลงทุนที่หลากหลายเพื่อสร้าง New S-Curve ใหม่ ๆ
โดยเน้นไปยังกลุ่มธุรกิจ Startup ที่มองว่าเป็นธุรกิจเมกะเทรนด์ในอนาคต
จากธุรกิจปิโตรเลียมก็ต่อยอดไปสู่ธุรกิจปิโตรเคมี โดยจะเน้นไปที่กลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าสูงเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ขณะเดียวกันก็หันมาให้ความสนใจในพอร์ตการลงทุนที่หลากหลายเพื่อสร้าง New S-Curve ใหม่ ๆ
โดยเน้นไปยังกลุ่มธุรกิจ Startup ที่มองว่าเป็นธุรกิจเมกะเทรนด์ในอนาคต
และหากทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้ สัดส่วนรายได้ธุรกิจของไทยออยล์ในปี 2030
ก็จะเปลี่ยนเป็นธุรกิจโรงกลั่นปิโตรเลียม 40% ธุรกิจปิโตรเคมี 40%, ธุรกิจโรงไฟฟ้า 10%
และธุรกิจใหม่อื่น ๆ 10%
ก็จะเปลี่ยนเป็นธุรกิจโรงกลั่นปิโตรเลียม 40% ธุรกิจปิโตรเคมี 40%, ธุรกิจโรงไฟฟ้า 10%
และธุรกิจใหม่อื่น ๆ 10%
ทีนี้คงพอจะเห็นภาพว่าสัดส่วนธุรกิจอื่น ๆ ที่ไม่ใช่โรงกลั่นจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ซึ่งก็น่าจะทำให้รายได้บริษัทเติบโตกว่าปัจจุบันหลายเท่าตัว
ซึ่งก็น่าจะทำให้รายได้บริษัทเติบโตกว่าปัจจุบันหลายเท่าตัว
ทีนี้คงพอจะเห็นภาพว่าในอนาคตธุรกิจพลังงานของไทยออยล์
จะไม่ได้ยึดติดอยู่แค่กรอบเดิม ๆ ด้วยคำว่า “น้ำมัน” อย่างเดียวอีกต่อไป
จะไม่ได้ยึดติดอยู่แค่กรอบเดิม ๆ ด้วยคำว่า “น้ำมัน” อย่างเดียวอีกต่อไป
แต่จะต้องเป็นบริษัทพลังงานที่สอดคล้องกับโลกที่กำลังเปลี่ยนไป
และเข้าใกล้ชีวิตประจำวันของคนมากขึ้นกว่าเดิม
และเข้าใกล้ชีวิตประจำวันของคนมากขึ้นกว่าเดิม
และนี่คือแนวคิดของไทยออยล์
เพื่อให้องค์กรตัวเองเติบโตยั่งยืนมีอายุมากกว่า 100 ปี..
References:
-แบบแสดงรายการข้อมูลปี 2563 บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)
-https://investor-th.thaioilgroup.com/faq.html
-https://www.thairath.co.th/business/economics/1719709
-https://www.doeb.go.th
เพื่อให้องค์กรตัวเองเติบโตยั่งยืนมีอายุมากกว่า 100 ปี..
References:
-แบบแสดงรายการข้อมูลปี 2563 บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)
-https://investor-th.thaioilgroup.com/faq.html
-https://www.thairath.co.th/business/economics/1719709
-https://www.doeb.go.th