กรณีศึกษา การทรานส์ฟอร์ม วัดเส้าหลิน สู่ธุรกิจท่องเที่ยว

กรณีศึกษา การทรานส์ฟอร์ม วัดเส้าหลิน สู่ธุรกิจท่องเที่ยว

กรณีศึกษา การทรานส์ฟอร์ม วัดเส้าหลิน สู่ธุรกิจท่องเที่ยว /โดย ลงทุนแมน
“Everybody was a kung-fu fighting”
ท่อนแรกของเพลง Kung Fu Fighting ที่ร้องโดย Carl Douglas
คงจะเป็นท่อนหนึ่งของเพลง ที่ใครหลายคนจดจำได้ จากภาพยนตร์แอ็กชันสไตล์กังฟู
รู้ไหมว่าการที่ “กังฟู” กลายเป็นกระแสทั่วโลกอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันได้
ส่วนสำคัญเลยเพราะ การสนับสนุนจากวัดเส้าหลิน
วัดแห่งนี้ เคยมีช่วงเวลาที่ตกต่ำและย่ำแย่ แต่ก็ได้พลิกกลับมาเป็นวัด
ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก แถมยังสามารถผลักดันกังฟู
ให้กลายเป็น Soft Power ของประเทศจีนได้อีกด้วย
แล้ววัดแห่งนี้ มีวิทยายุทธทางธุรกิจ อย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
จริง ๆ แล้ว วัดเส้าหลิน คือวัดนิกายมหายาน ที่มีความเก่าแก่มากกว่า 1,500 ปี
ตัววัด ตั้งอยู่บนเทือกเขาซงซาน เมืองเจิ้งโจว มณฑลเหอหนาน ประเทศจีน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในห้ายอดเขาอันศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของชาวจีน
วัดเส้าหลินมีชื่อเสียงด้านการเป็นแหล่งวิชาการต่อสู้และศิลปะการป้องกันตัวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจีน
อย่างที่เราน่าจะคุ้นชื่อกันดี เช่น เพลงหมัดมวย พลังลมปราณ รวมถึงกังฟูเส้าหลิน
ความโด่งดังของศิลปะป้องกันตัวเหล่านี้ ก็ได้ทำให้วัดเส้าหลินสร้างเม็ดเงินมหาศาล
แต่ช่วงหนึ่งวัดเส้าหลินเคยเกือบจะแย่ แต่สุดท้ายกลับมามีชื่อเสียงได้ ด้วยการบริหารของเจ้าอาวาสท่านหนึ่ง ที่มีชื่อว่า “ฉี หย่งซิน”
ปี 1981 ฉี หย่งซิน ในวัย 16 ปี ได้เข้าสู่ชีวิตสงฆ์ที่วัดเส้าหลิน
สมัยนั้น เส้าหลินยังมีสภาพเสื่อมโทรม อาคารและสิ่งของต่าง ๆ ในวัดแตกหักเสียหาย
รวมถึงสภาพความเป็นอยู่ของพระภิกษุก็ย่ำแย่ ทั้งวัดมีพระภิกษุเพียง 20 รูปเท่านั้น
ไม่มีกระทั่งเจ้าอาวาส และพระแต่ละรูป อยู่ได้ด้วยซาลาเปาเพียง 2 ลูกต่อวัน
สาเหตุเกิดจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ที่เรียกว่าการปฏิวัติทางวัฒนธรรม
ในสมัย เหมา เจ๋อตง ที่ได้ควบคุมการนับถือศาสนา
รวมถึงทำลายสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ของวัด
แต่ต่อมา เติ้ง เสี่ยวผิง ก็ได้ยุติการปฏิวัติทางวัฒนธรรมอย่างเป็นทางการในปี 1981
หลังจากนั้นมา ศาสนาพุทธและวัดต่าง ๆ ก็ได้เริ่มกลับมาฟื้นฟู
จากสภาพอย่างที่กล่าวไป ทำให้ ฉี หย่งซิน ต้องการฟื้นฟูศาสนาพุทธกลับมาอย่างเดิม
สิ่งแรกที่เขาทำคือ “การค้นหาเจ้าอาวาสรักษาการ”
เพื่อทำหน้าที่ปกครองดูแลอำนวยกิจการทุกอย่างเกี่ยวกับวัด
และก็ได้พบกับชายชราที่ชื่อซิงเจิ้ง ซึ่งเขาคนนี้เองก็ตอบรับจากคำขอของฉี หย่งซิน
และภายหลังจากนั้นไม่นาน
ก็ได้มีจุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นกับวัดเส้าหลิน
นั่นก็คือ ภาพยนตร์เรื่อง “Shaolin Temple”
หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ เสี่ยวลิ้มยี่ ถูกจัดฉายในปี 1982
ภาพยนตร์ดังกล่าว ได้สร้างความฮือฮาและเป็นกระแสอย่างถล่มทลายสำหรับชาวจีน
โดยมีการประมาณการว่าขายตั๋วรับชมภาพยนตร์ได้กว่า 300 ล้านใบในประเทศจีน
ด้วยเนื้อเรื่องเกี่ยวกับพระเอกไปยังวัดเส้าหลินเพื่อเรียนกังฟูและกลับมาล้างแค้นพวกเหล่าร้าย
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา วัดเส้าหลินจึงได้ผลพลอยได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย
และก็ได้ทำให้ชาวจีนเริ่มมาท่องเที่ยวและเยี่ยมชมวัดเส้าหลินเพิ่มขึ้น
ฉี หย่งซิน จึงเห็นโอกาสที่วัดจะสามารถใช้ประโยชน์จากเหตุการณ์ครั้งนี้ได้
สิ่งต่อมาที่เขาดำเนินการคือ เข้าไปพูดคุยเจรจากับหน่วยงานของรัฐบาล
ให้ทางวัดสามารถเก็บเงินจากตั๋วค่ารับชม
และขออนุญาตให้วัดสามารถสร้างสิ่งก่อสร้างเพิ่มขึ้นได้
ซึ่งก็เป็นไปตามที่ ฉี หย่งซิน คาดการณ์ไว้
จากแต่ก่อนมีผู้เยี่ยมชมวัดเส้าหลินประมาณ 50,000 คนต่อปี
แต่ในปี 1984 ตัวเลขผู้เยี่ยมชมเพิ่มขึ้นเป็น 2,600,000 คนต่อปี เลยทีเดียว
เพิ่มขึ้นคิดเป็น 52 เท่า ภายในระยะเวลาเพียง 2 ปี
เรื่องดังกล่าวทำให้ทางวัดมีรายได้เข้ามามหาศาล
ซึ่งวัดก็สามารถนำเงินไปฟื้นฟูและพัฒนาสิ่งต่าง ๆ ภายในวัด
แต่ ฉี หย่งซิน มองการณ์ไกลกว่านั้นไปอีก
เขามองว่าไม่ใช่เพียงแค่วัดเส้าหลินที่กลับมามีชื่อเสียงเท่านั้น
แต่ศิลปะการต่อสู้และป้องกันตัวแบบกังฟู ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน
ฉี หย่งซิน จึงมุ่งเน้นสื่อสารเรื่องกังฟู โดยจัดให้มีคณะการแสดงภายในวัด
รวมถึงสนับสนุนภาพยนตร์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับวัดเส้าหลินและกังฟู
และก็เป็นไปตามที่เขาคาดการณ์อีกครั้ง
วัดเส้าหลินสามารถสร้างชื่อเสียงได้อย่างมหาศาล
ทั้งในมุมการเป็นแหล่งท่องเที่ยวและแหล่งถ่ายทอดศิลปะการต่อสู้
แต่ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เพียงในประเทศเท่านั้น ยังลามไปทั่วโลกอีกด้วย
และกลายเป็น Soft Power ของประเทศจีนไปโดยปริยาย
เมื่อวัดเส้าหลินกลายเป็นสถานที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว
ก็ส่งผลให้มีเหล่าผู้ค้าขายทั้งหลายหลั่งไหลเข้ามาทำธุรกิจในพื้นที่ใกล้เคียง
มีตั้งแต่ โรงแรม ร้านค้าทั่วไป ร้านอาหาร และร้านคาราโอเกะ
ถนนและบ้านเมืองรอบวัดที่เคยเงียบเหงาได้กลายเป็นเมืองขนาดย่อมที่มีผู้อยู่อาศัย 20,000 คน
ด้วยการที่วัดเส้าหลินเป็นแบรนด์ที่ดึงดูดเม็ดเงินได้มากมาย
บริษัทต่าง ๆ ในจีนหลายรายจึงเริ่มสร้างสินค้าที่อาศัยแบรนด์ “เส้าหลิน” ด้วย
แม้ว่าจะไม่เกี่ยวข้องก็ตาม เช่น บุหรี่ รถยนต์ แฮม เบียร์ และอื่น ๆ อีกหลากหลายอย่าง
เพื่อปกป้องภาพลักษณ์และผลประโยชน์ของวัด คุณฉี หย่งซิน จึงก่อตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมา
โดยใช้ชื่อว่า Henan Shaolin Temple Industrial Development
และจดทะเบียนชื่อ Shaolin เป็นเครื่องหมายการค้า

เพื่อป้องกันไม่ให้ใครสามารถนำชื่อไปใช้ได้อีก
ทำให้ปัจจุบันเส้าหลินกลายเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าเกือบ 700 รายการด้วยกัน
และจากที่กล่าวมาทั้งหมด ชื่อเสียงของแบรนด์ “เส้าหลิน”
และวิธีคิดบริหารแบบนักธุรกิจของเจ้าอาวาส ฉี หย่งซิน
ส่งผลให้ปัจจุบันวัดเส้าหลินมีรายได้มหาศาลจากธุรกิจหลากหลายช่องทาง
ณ ขณะนี้วัดเส้าหลินประกอบธุรกิจอะไรบ้าง ?
อย่างแรกที่เรารู้จักกันคือ ธุรกิจท่องเที่ยว
รายได้มาจากค่าเข้าชม และสินค้าต่าง ๆ ที่จัดจำหน่ายภายในวัด
ปัจจุบันวัดเส้าหลินร่วมมือกับ China National Travel Service ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ และจะเป็นผู้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยว
เช่น บริการขนส่งแก่นักท่องเที่ยวภายในวัด การจัดระเบียบการเที่ยวชมของนักท่องเที่ยว
โดยที่รัฐจะได้ผลประโยชน์จาก 70% ของรายได้จากค่าเข้าชม
ธุรกิจที่สอง คือ การสอนศิลปะการต่อสู้และป้องกันตัวแบบกังฟู
โรงเรียนสอนกังฟูที่อยู่พื้นที่รอบข้าง ส่วนใหญ่เรียนรู้วิชาจากวัดเส้าหลิน
ทำให้โรงเรียนเหล่านี้จำเป็นต้องจ่ายเงินส่วนหนึ่งเพื่อบำรุงรักษาวัด
มีการสอนตั้งแต่การฝึกพลังลมปราณและการใช้อาวุธ เช่น ดาบ หอก กระบี่ พลอง ง้าว ทวน กระบองสองท่อน ซึ่งมีการประมาณการว่ามีผู้เรียนเป็นจำนวนถึง 30,000 คน
ซึ่งผู้ที่เรียนจบหลักสูตรแล้ว มีโอกาสที่จะได้ก้าวเข้าสู่อาชีพบอดีการ์ดหรือนักแสดงบทบู๊
ธุรกิจที่สาม คือ ภาพยนตร์
วัดเส้าหลินให้บริการเช่าสถานที่สำหรับถ่ายทำภาพยนตร์
และเป็นผู้ให้เงินทุนสนับสนุนแก่ภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับวัดเส้าหลินด้วย
นอกจากนี้ทางวัดยังร่วมมือกับสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมเซินเจิ้น
ในการจัดมหกรรมการแข่งขัน “K-STAR” หรือศึกชิงเจ้ายุทธจักร
เป็นการแข่งขันปะทะหมัดมวยกัน เพื่อหาสุดยอดเจ้ายุทธจักรกังฟูแห่งเส้าหลิน
ซึ่งเปิดรับสมัครผู้ที่สนใจเข้าร่วมแข่งขันทั้งชายและหญิง
แต่มีข้อห้ามคือหลวงจีนวัดเส้าหลินไม่สามารถเข้าร่วมได้
วัดเส้าหลินยังมีสินค้าและบริการอื่น ๆ อีกมากมาย
เช่น แอปพลิเคชันสอนกังฟู รวมถึงการเปิดตัวผลิตภัณฑ์กลุ่มยาจีนโบราณ
นอกจากนี้ก็ยังมีการขยายแฟรนไชส์วัดเส้าหลินไปสู่ประเทศอื่น ๆ
อย่างประเทศออสเตรเลีย ​เยอรมนี และอังกฤษ
จากการมีธุรกิจที่หลากหลายและรายได้ที่มากมาย
ถือได้ว่าวัดเส้าหลินกำลังกลายเป็นธุรกิจขนาดยักษ์
จนถึงขนาดที่ว่าเมื่อไม่กี่ปีก่อน มีรายงานว่าวัดแห่งนี้
กำลังจะระดมทุนเข้าตลาดหลักทรัพย์
อย่างไรก็ตามด้วยความที่วัดเส้าหลินมีจุดเริ่มต้น
จากการเป็น สถานที่ทางศาสนาพุทธ ที่ละทางโลก
การที่วันนี้วัดเส้าหลิน ได้กลายมาเป็นธุรกิจที่รุ่งเรืองและเป็นองค์กรแสวงหาผลกำไร
ก็น่าคิดเหมือนกันว่า เราจะยังมองสถานที่แห่งนี้เป็นวัดอีกหรือไม่
เพราะวันนี้วัดเส้าหลินดูเหมือนว่า จะกลายเป็นบริษัท ที่ทำธุรกิจท่องเที่ยว และธุรกิจแฟรนไชส์ ไปเรียบร้อยแล้ว..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://www.economist.com/christmas-specials/2020/12/19/tales-of-a-ceo-monk-obscure-the-business-of-faith-in-china
-https://en.wikipedia.org/wiki/Shaolin_Temple_(1982_film)
-https://en.wikipedia.org/wiki/Cultural_Revolution
-https://www.bloomberg.com/news/features/2015-12-28/the-rise-and-fall-of-shaolin-s-ceo-monk
-https://www.bloomberg.com/opinion/articles/2018-04-24/for-china-s-buddhist-monks-an-ipo-too-far

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

SPONSORED
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon