กรณีศึกษา สิงห์ เอสเตท มองเห็นอะไรในธุรกิจโรงงานผลิตไฟฟ้า
สิงห์ เอสเตท X ลงทุนแมน
กรณีศึกษา สิงห์ เอสเตท มองเห็นอะไรในธุรกิจโรงงานผลิตไฟฟ้า
กรณีศึกษา สิงห์ เอสเตท มองเห็นอะไรในธุรกิจโรงงานผลิตไฟฟ้า
ณ วันนี้ เส้นแบ่งกั้นทางธุรกิจกำลังบางลงเรื่อย ๆ
เมื่อหลายบริษัทได้ก้าวข้ามเส้นแบ่งนี้ ด้วยการทำธุรกิจใหม่ ๆ ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะทำ
เมื่อหลายบริษัทได้ก้าวข้ามเส้นแบ่งนี้ ด้วยการทำธุรกิจใหม่ ๆ ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะทำ
ความน่าสนใจของเรื่องนี้ก็คือ..มีหลายบริษัทเลยทีเดียวเมื่อก้าวข้ามเส้นแบ่งนี้
กลับทำได้ดี ไม่แพ้ธุรกิจหลักของตัวเอง หรือแม้แต่คู่แข่งในตลาดที่อยู่ในธุรกิจมาก่อน
กลับทำได้ดี ไม่แพ้ธุรกิจหลักของตัวเอง หรือแม้แต่คู่แข่งในตลาดที่อยู่ในธุรกิจมาก่อน
โดยหนึ่งในกรณีศึกษาที่น่าสนใจล่าสุด ก็น่าจะเป็นความเคลื่อนไหวของ สิงห์ เอสเตท
ที่ตัดสินใจซื้อหุ้นในธุรกิจโรงงานผลิตไฟฟ้าและความร้อน 3 แห่ง
ที่ตัดสินใจซื้อหุ้นในธุรกิจโรงงานผลิตไฟฟ้าและความร้อน 3 แห่ง
เรื่องนี้ คงไม่มีใครคาดคิดว่าวันหนึ่งบริษัทอสังหาฯ จะมาทำธุรกิจผลิตไฟฟ้า
เพียงแต่ในโลกของธุรกิจประตูของโอกาสก็ไม่เคยปิดตายสักครั้ง
มันขึ้นอยู่กับว่าเรามองเห็นโอกาสนั้นไหม
เพียงแต่ในโลกของธุรกิจประตูของโอกาสก็ไม่เคยปิดตายสักครั้ง
มันขึ้นอยู่กับว่าเรามองเห็นโอกาสนั้นไหม
แล้ว สิงห์ เอสเตท มองเห็นโอกาสอะไรในธุรกิจนี้
ลงทุนแมน จะวิเคราะห์ให้ฟัง
ลงทุนแมน จะวิเคราะห์ให้ฟัง
รู้หรือไม่ว่า ในอีก 14 ปีข้างหน้าหรือปี พ.ศ. 2578 ค่ายรถยนต์ต่าง ๆ จะต้องผลิตรถไฟฟ้า 100%
ตามเป้าหมายที่รัฐบาลจะผลักดันให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถไฟฟ้า
ซึ่งมีการคาดการณ์ไว้ว่าถ้าวันนั้นมาถึง บนท้องถนนเมืองไทยจะมีรถไฟฟ้ารวมกันทุกประเภท 15 ล้านคัน
ตามเป้าหมายที่รัฐบาลจะผลักดันให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถไฟฟ้า
ซึ่งมีการคาดการณ์ไว้ว่าถ้าวันนั้นมาถึง บนท้องถนนเมืองไทยจะมีรถไฟฟ้ารวมกันทุกประเภท 15 ล้านคัน
ก่อนจะถึงวันนั้น ค่ายรถยนต์ก็น่าจะทยอยเปิดตัวรถไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นเรื่อย
พร้อมกับสร้างสถานีชาร์จไฟ ที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน
ขณะเดียวกันภาคการผลิตสินค้าต่าง ๆ จะใช้เทคโนโลยีมากขึ้นและต้องพึ่งพาพลังงานไฟฟ้า
พร้อมกับสร้างสถานีชาร์จไฟ ที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน
ขณะเดียวกันภาคการผลิตสินค้าต่าง ๆ จะใช้เทคโนโลยีมากขึ้นและต้องพึ่งพาพลังงานไฟฟ้า
นั่นแปลว่า ต่อจากนี้ไปจนถึงอนาคต ความต้องการพลังงานไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
แล้ว สิงห์ เอสเตท ก็มองว่านี่คือเมกะเทรนด์ ที่จะอยู่ไปอีกนานแสนนาน
แล้ว สิงห์ เอสเตท ก็มองว่านี่คือเมกะเทรนด์ ที่จะอยู่ไปอีกนานแสนนาน
การลงทุนในโรงงานผลิตไฟฟ้าครั้งนี้ จึงเปรียบเสมือนหนึ่งในจิ๊กซอว์
ที่จะทำให้บริษัทยั่งยืนเติบโตต่อไปในอนาคต
ที่จะทำให้บริษัทยั่งยืนเติบโตต่อไปในอนาคต
ทำให้ สิงห์ เอสเตท ตัดสินใจลงทุน 1,392 ล้านบาท ในธุรกิจนี้
โดยบริษัทได้รับสิทธิ์ในการเข้าซื้อหุ้นสามัญ 30% ในโรงงานผลิตไฟฟ้าและความร้อนร่วมขนาดใหญ่ 3 แห่ง
ซึ่งทั้ง 3 โรงงานมีกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้ารวมกัน 400 เมกะวัตต์
โดยบริษัทได้รับสิทธิ์ในการเข้าซื้อหุ้นสามัญ 30% ในโรงงานผลิตไฟฟ้าและความร้อนร่วมขนาดใหญ่ 3 แห่ง
ซึ่งทั้ง 3 โรงงานมีกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้ารวมกัน 400 เมกะวัตต์
1. บริษัท อ่างทอง เพาเวอร์ จำกัด ในนิคมอุตสาหกรรมเวิลด์ ฟู๊ด วัลเลย์ ไทยแลนด์ จ. อ่างทอง
โดยปัจจุบันโรงงานแห่งนี้ มีกำลังการผลิต 123 เมกะวัตต์
โดยปัจจุบันโรงงานแห่งนี้ มีกำลังการผลิต 123 เมกะวัตต์
ที่น่าสนใจคือ กระแสไฟฟ้ากว่า 75% จากกำลังการผลิตทั้งหมดของโรงงานแห่งนี้
ได้ถูกทำสัญญาซื้อ โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นการเซ็นสัญญานานถึง 25 ปี
นั่นแปลว่าบริษัทจะมีรายได้และกำไรที่สม่ำเสมอ โดยไม่ต้องเหนื่อยกับการหาลูกค้าในช่องทางอื่น ๆ มากนัก
ได้ถูกทำสัญญาซื้อ โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นการเซ็นสัญญานานถึง 25 ปี
นั่นแปลว่าบริษัทจะมีรายได้และกำไรที่สม่ำเสมอ โดยไม่ต้องเหนื่อยกับการหาลูกค้าในช่องทางอื่น ๆ มากนัก
ส่วนโรงงานที่ 2 และ 3 เป็นของบริษัท บี. กริม เพาเวอร์ (ราชบุรี) 1 จำกัด และบริษัท บี. กริม เพาเวอร์ (ราชบุรี) 2 จำกัด โดยอยู่ระหว่างก่อสร้าง และกำหนดเปิดโรงงานในปี พ.ศ. 2566
โดยมีกำลังการผลิต 140 เมกะวัตต์ ต่อ 1 โรงงาน
โดยมีกำลังการผลิต 140 เมกะวัตต์ ต่อ 1 โรงงาน
สรุปแล้วก็คือทั้ง 3 โรงงานมีกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้ารวมกัน 400 เมกะวัตต์ เลยทีเดียว
และคาดว่าภายในอีก 3 ปีข้างหน้าหรือปี พ.ศ. 2567
โรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง จะสร้างรายได้รวมกันกว่า 7,500 ล้านบาท
ซึ่งการจะไปถึงจุดนั้นได้ สิงห์ เอสเตท มองว่าจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่
เข้ามาช่วยลดต้นทุนในการผลิต
โรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง จะสร้างรายได้รวมกันกว่า 7,500 ล้านบาท
ซึ่งการจะไปถึงจุดนั้นได้ สิงห์ เอสเตท มองว่าจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่
เข้ามาช่วยลดต้นทุนในการผลิต
การลงทุนด้วยเม็ดเงิน 1,392 ล้านบาทกับรายได้มหาศาลที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
นับเป็นดีลที่สำคัญที่ทาง สิงห์ เอสเตท มองว่าไม่ต้องเริ่มต้นธุรกิจใหม่ด้วยคำว่า “ศูนย์”
นับเป็นดีลที่สำคัญที่ทาง สิงห์ เอสเตท มองว่าไม่ต้องเริ่มต้นธุรกิจใหม่ด้วยคำว่า “ศูนย์”
ทีนี้คงพอจะเห็นภาพคร่าว ๆ แล้วว่าทำไม สิงห์ เอสเตท ถึงเลือกลงทุนในธุรกิจนี้
พร้อมกับตั้งเป้าหมายว่าธุรกิจโรงงานผลิตไฟฟ้าจะเป็นหนึ่งในจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญ
ที่จะทำให้อีก 3 ปีข้างหน้า รายได้บริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า
หรือคิดเป็นรายได้ 20,000 ล้านบาทต่อปี
พร้อมกับตั้งเป้าหมายว่าธุรกิจโรงงานผลิตไฟฟ้าจะเป็นหนึ่งในจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญ
ที่จะทำให้อีก 3 ปีข้างหน้า รายได้บริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า
หรือคิดเป็นรายได้ 20,000 ล้านบาทต่อปี
ความน่าสนใจของเรื่องนี้ยังไม่หมดแค่นั้น เมื่อ สิงห์ เอสเตท มีไอเดียนำธุรกิจโรงงานผลิตไฟฟ้า
มาต่อยอดธุรกิจหลักอย่างอสังหาฯ ของตัวเอง แต่จะเป็นในรูปแบบไหนนั้น คงต้องติดตามกันต่อไป
มาต่อยอดธุรกิจหลักอย่างอสังหาฯ ของตัวเอง แต่จะเป็นในรูปแบบไหนนั้น คงต้องติดตามกันต่อไป
ถึงตรงนี้ การลงทุนครั้งนี้ของ สิงห์ เอสเตท คงไม่ต่างจากการที่เราจะลงทุนซื้ออะไรสักอย่างหนึ่ง
ไม่ว่าจะเป็น ซื้อหุ้น ซื้อทองคำซื้ออสังหาฯ เพื่อการลงทุน
โดยคาดหวังว่าเงินที่ลงทุนไปนั้น มันจะงอกเงยขึ้นมาในอนาคต
ไม่ว่าจะเป็น ซื้อหุ้น ซื้อทองคำซื้ออสังหาฯ เพื่อการลงทุน
โดยคาดหวังว่าเงินที่ลงทุนไปนั้น มันจะงอกเงยขึ้นมาในอนาคต
แต่จะเป็นจริงอย่างที่คาดหวังหรือไม่นั้น
มันขึ้นอยู่กับว่าตัวเราเองมองเห็นอนาคตกับสิ่งที่เราลงทุนหรือไม่ ?
มันขึ้นอยู่กับว่าตัวเราเองมองเห็นอนาคตกับสิ่งที่เราลงทุนหรือไม่ ?
เหมือนอย่างที่ สิงห์ เอสเตท มองว่าธุรกิจโรงงานผลิตไฟฟ้า
คือเมกะเทรนด์ ที่ในอนาคตความต้องการในประเทศจะมีอย่างมหาศาล
และจะทำให้เม็ดเงินที่ลงทุนไปในตอนนี้ สร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่า
จนทำให้ สิงห์ เอสเตท กลายเป็นบริษัทอสังหาฯ ที่ยั่งยืนในอนาคต นั่นเอง
คือเมกะเทรนด์ ที่ในอนาคตความต้องการในประเทศจะมีอย่างมหาศาล
และจะทำให้เม็ดเงินที่ลงทุนไปในตอนนี้ สร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่า
จนทำให้ สิงห์ เอสเตท กลายเป็นบริษัทอสังหาฯ ที่ยั่งยืนในอนาคต นั่นเอง
References
-ข่าวประชาสัมพันธ์บริษัท สิงห์ เอสเตท จํากัด (มหาชน)
-ข่าวประชาสัมพันธ์ สภา อุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
-ข่าวประชาสัมพันธ์บริษัท สิงห์ เอสเตท จํากัด (มหาชน)
-ข่าวประชาสัมพันธ์ สภา อุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย