หนี้สาธารณะของไทย แบบเข้าใจง่าย ๆ

หนี้สาธารณะของไทย แบบเข้าใจง่าย ๆ

หนี้สาธารณะของไทย แบบเข้าใจง่าย ๆ /โดย ลงทุนแมน
หนี้สาธารณะของประเทศไทยตอนนี้สูงระดับไหน ?
แล้วหนี้สาธารณะระดับไหนถือว่าสูง ?
แล้วเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ถือว่าสูงหรือไม่ ?
หลายครั้ง เรื่องนี้มักเป็นเรื่องที่ถูกนำมาโจมตีในทางการเมืองของฝั่งตรงข้ามในทุกยุคทุกสมัย
ประเทศเราก่อหนี้ไว้มาก จนคนธรรมดาอย่างเราฟังแล้วไม่เข้าใจ
ลงทุนแมนจะมาอธิบายเรื่องนี้ แบบเข้าใจง่าย ๆ ให้ฟัง
ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า ทำไมรัฐบาลจึงต้องมีหนี้สาธารณะ
ในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศใดประเทศหนึ่ง ทุกประเทศจะใช้ 2 นโยบายหลัก ได้แก่
1. นโยบายการเงิน (Monetary Policy)
ดำเนินการโดยธนาคารกลางของประเทศนั้น ซึ่งเครื่องมือหลักคือ การปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อให้สะท้อนกับภาวะเศรษฐกิจในช่วงนั้น ๆ
เศรษฐกิจไม่ดี จะลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เศรษฐกิจดี จะขึ้นดอกเบี้ยเพื่อชะลอความร้อนแรง
2. นโยบายการคลัง (Fiscal Policy)
ซึ่งดำเนินการโดยรัฐบาลผ่านมาตรการภาษีซึ่งเป็นด้านรายได้
รายได้ของรัฐบาลนั้น ถือเป็นส่วนสำคัญในการกำหนดรายจ่ายที่รัฐบาลต้องการใช้ในการดำเนินนโยบายต่าง ๆ
รายได้หลักของรัฐบาลคือ รายได้จากภาษี อย่างไรก็ตาม มีหลายครั้งที่การจัดเก็บรายได้นั้นไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งอาจเกิดจากการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ หรือเศรษฐกิจโลก
แต่เพื่อให้นโยบายต่าง ๆ สามารถดำเนินการต่อไปได้
หรือบางครั้ง รัฐบาลก็ดำเนินการแบบนโยบายขาดดุล เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว หลังเจอเศรษฐกิจซบเซา
รัฐบาลจึงจําเป็นต้องกู้เงินมาใช้จ่าย จนนำมาซึ่งหนี้สาธารณะ (Public Debt) ซึ่งก็มาจากการออกพันธบัตรรัฐบาล หรือกู้ยืมเงินจากคนอื่นนั่นเอง
สำหรับประเทศไทยนั้น ไม่ใช่ว่ารัฐบาลจะสามารถกู้เงินมาใช้จ่ายเท่าไรก็ได้
เพราะต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ โดยเฉพาะการที่ต้องคงสัดส่วนหนี้สาธารณะ ซึ่งเดิมกำหนดไว้ไม่เกิน 60% ของ GDP
แต่จากสถานการณ์ล็อกดาวน์ ที่รัฐบาลต้องใช้จ่ายงบประมาณจำนวนมากเพื่อบรรเทาผลกระทบ รวมถึงกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงได้มีการปรับกรอบดังกล่าวเป็น ไม่เกิน 70% ของ GDP มาตั้งแต่ปี 2564
โดย ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2568 หนี้สาธารณะของไทย แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม
1. หนี้รัฐบาล จำนวน 10.7 ล้านล้านบาท
2. หนี้รัฐวิสาหกิจ จำนวน 1.1 ล้านล้านบาท
3. หนี้รัฐวิสาหกิจที่ทำธุรกิจในภาคการเงิน จำนวน 0.2 ล้านล้านบาท
4. หนี้หน่วยงานของรัฐ จำนวน 0.09 ล้านล้านบาท
รวมหนี้สาธารณะของประเทศไทยทั้งหมด 12.09 ล้านล้านบาท ซึ่งหนี้สาธารณะของไทยทั้งหมดนั้น 99% เป็นหนี้ในประเทศ และ 1% เป็นหนี้ต่างประเทศ
โดยหนี้สาธารณะมีสัดส่วนประมาณ 64.7% ของ GDP ทั้งประเทศที่ 18.7 ล้านล้านบาท
พอเรื่องเป็นแบบนี้ นั่นก็หมายความว่า
ณ วันนี้ประเทศไทยของเรามีกระสุนเหลือที่จะก่อหนี้สาธารณะเพื่อมาใช้ดำเนินนโยบายต่าง ๆ รวมทั้งรับมือกับวิกฤติเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตอีกประมาณ 1 ล้านล้านบาทเท่านั้น เว้นแต่จะขยับกรอบเพดานหนี้ขึ้นไปอีก..
รู้ไหมว่าตั้งแต่ปี 2540 สัดส่วนหนี้สาธารณะของไทยต่อ GDP เคยขึ้นไปถึง 58% ในปี 2543 ซึ่งเป็นช่วงหลังวิกฤติเศรษฐกิจ
ก่อนที่จะลดลงมา โดยในช่วงระหว่างปี 2540-2563 หนี้สาธารณะต่อ GDP เฉลี่ยอยู่ที่ปีละประมาณ 45% ก่อนที่จะถีบตัวสูงขึ้นในช่วงล็อกดาวน์ปี 2564 และไต่ระดับขึ้นเรื่อย ๆ และไม่เคยลงไปต่ำกว่า 60% ต่อ GDP อีกเลย
แล้วหนี้สาธารณะของไทยถือว่าสูงไหม เมื่อเทียบกับที่อื่นในปัจจุบัน ?
ซึ่งก็ต้องถามกลับว่าเทียบกับใคร
ถ้าเทียบกับหนี้ทั่วโลก หนี้สาธารณะเฉลี่ยต่อ GDP จะอยู่ที่ 90%
แต่ถ้าเทียบกับประเทศในอาเซียน หนี้สาธารณะเฉลี่ยต่อ GDP จะอยู่ที่ 66.6%
ถ้าดูแบบนี้คงต้องบอกว่า สถานะการเงินและการคลังของประเทศยังถือว่าอยู่ในระดับปานกลาง และใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในอาเซียน
ขณะเดียวกันในตอนนี้ ก็มีหลายประเทศที่มีสัดส่วนหนี้สาธารณะสูงจนมีปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ เช่น
เลบานอน มีหนี้สาธารณะต่อ GDP อยู่ที่ 200% ซึ่งนับแค่เฉพาะดอกเบี้ยที่รัฐบาลต้องจ่ายเจ้าหนี้ ก็มากกว่าที่รัฐบาลจะจ่ายไหว จนสุดท้ายเกิดการผิดนัดชำระหนี้ และทำให้รัฐบาลเหลืองบประมาณไม่มากในการพัฒนาประเทศ จนเกิดวิกฤติในประเทศขึ้นเมื่อปี 2562 จนมาถึงปัจจุบัน
เปอร์โตรีโก ซึ่งเป็นเขตปกครองพิเศษของสหรัฐอเมริกา ก็เคยมีหนี้สาธารณะกว่า 119% ของ GDP จากการที่รัฐบาลทำงบประมาณขาดดุลด้วยวิธีการออกพันธบัตรอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 40 ปี
การมีหนี้สินมหาศาลโดยที่รัฐบาลขาดความสามารถในการชำระคืนหนี้ จนสุดท้ายประเทศก็ล้มละลาย จนต้องเข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ จึงทำให้หนี้สาธารณะ ลดลงมาอยู่ที่ 17% ของ GDP
แต่รัฐบาลเปอร์โตรีโก ก็ต้องแลกกับเงื่อนไขต่าง ๆ มากมายเพื่อให้แผนการปรับโครงสร้างหนี้และฟื้นฟูได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย เช่น ลดเงินบำนาญข้าราชการ, ขึ้นค่าไฟฟ้า, ให้เอกชนเข้ามาบริหารระบบไฟฟ้า รวมถึงลดงบประมาณพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
สำหรับประเทศไทย แม้ว่าหนี้สาธารณะของประเทศยังถือว่าไม่สูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ แต่สิ่งที่ท้าทายพวกเราในอนาคตคือ ประชากรวัยแรงงาน ซึ่งเป็นฐานภาษีที่สำคัญของประเทศมีแนวโน้มลดลง สวนทางกับสัดส่วนผู้สูงอายุ
หมายความว่า รายได้จากภาษีของรัฐบาลมีแนวโน้มลดลง ขณะที่รายจ่ายอาจเพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาจสร้างความไม่สมดุลระหว่าง รายได้และรายจ่ายของรัฐบาล
เมื่อเป็นแบบนั้น รัฐบาลก็ควรทำ 2 เรื่อง คือ
1. พยายามใช้จ่ายในโครงการต่าง ๆ ที่จำเป็น และมีประโยชน์ในการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว
2. พยายามลดรายจ่ายในบางโครงการที่ไม่จำเป็น เพื่อเตรียมพร้อมรับมือสังคมผู้สูงอายุในอนาคต
ซึ่งทั้ง 2 เรื่องนี้จะทำให้เราคงสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP อยู่ในกรอบที่กำหนดไว้ โดยที่เราสามารถรับมือกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้
คำถามที่สำคัญคือ
รัฐบาลตอนนี้รู้ตัวหรือยังว่า
1. อะไรคือค่าใช้จ่ายที่จำเป็น
2. อะไรคือค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
เพราะถ้ายังไม่รู้
คนที่จะมารับภาระในอนาคต
ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน
แต่เป็นลูกหลานของพวกเรานั่นเอง..
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon