อธิบาย 10 คำศัพท์การลงทุน ด้วยอาหาร แบบเข้าใจง่าย ๆ

อธิบาย 10 คำศัพท์การลงทุน ด้วยอาหาร แบบเข้าใจง่าย ๆ

อธิบาย 10 คำศัพท์การลงทุน ด้วยอาหาร แบบเข้าใจง่าย ๆ
ระหว่างกินอาหารมื้อหนึ่ง ลงทุนแมนก็เกิดไอเดียว่า ถ้าเราลองถาม AI ให้ช่วยอธิบายคำศัพท์ด้านการลงทุน แบบเข้าใจง่าย ๆ
ด้วยการเปรียบเทียบกับสิ่งที่อยู่ในชีวิตประจำวันของเรา อย่างเช่น เมนูอาหาร
ว่ามันจะสามารถอธิบายให้เห็นภาพได้ไหม
และนี่ก็เป็นคำตอบที่ได้มา ซึ่งลงทุนแมนคิดว่า เป็นการเปรียบเทียบการลงทุนกับอาหาร ได้น่าสนใจมาก
1. หุ้น เปรียบเสมือนกับ “เนื้อสัตว์”
เพราะเป็นสารอาหารหลักของมื้ออาหาร ที่ให้พลังงานและโปรตีน แต่มีราคาแพงและมีความเสี่ยงสูง ขึ้นอยู่กับคุณภาพและประเภทของเนื้อสัตว์
ซึ่งไม่ต่างกับหุ้น ที่เป็นสินทรัพย์หลัก สำหรับคนที่มองหาผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูง แต่ก็อาจแลกมากับความผันผวนที่สูงขึ้น
โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น
- หุ้นเติบโต (Growth Stock)
เปรียบเสมือน “เนื้อสัตว์ชั้นดี” ที่มีมูลค่าแพง แต่มีโอกาสเติบโตสูง เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสูง แต่รับความเสี่ยงได้
- หุ้นปันผล (Dividend Stock)
เปรียบเสมือน “เนื้อสัตว์ราคาประหยัด” มีราคาไม่แพง กินได้เรื่อย ๆ โดยหุ้นจะให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการรายได้สม่ำเสมอ แต่โอกาสเติบโตน้อย
2. พันธบัตร (Bond) เปรียบเสมือน “ผัก”
เพราะให้สารอาหารและใยอาหาร ไม่มีรสชาติจัดจ้าน และเป็นเมนูที่ค่อนข้างน่าเบื่อ แต่มีความเสี่ยงต่ำ เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการความมั่นคง
ซึ่งแบ่งออกได้เป็น
- พันธบัตรรัฐบาล (Government Bond)
เปรียบเสมือน “ผักสดล้างสะอาด” เพราะมีความเสี่ยงต่ำ โอกาสที่รัฐจะผิดนัดชำระหนี้มีน้อย และให้ผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยที่สม่ำเสมอ เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการความมั่นคงสูง
- หุ้นกู้บริษัท (Corporate Bond)
เปรียบเสมือน “ผักดอง” เพราะมีความเสี่ยงปานกลาง ให้ผลตอบแทนมากกว่าพันธบัตรรัฐบาล แต่ก็มีความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้เพิ่มขึ้น จึงเหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้บ้าง
3. กองทุนรวม (Mutual Fund) เปรียบเสมือน “สลัด”
เพราะประกอบด้วยผักหลายชนิด มีทั้งผักสด ผักดอง และผลไม้ ซึ่งมีความเสี่ยงและผลตอบแทนขึ้นอยู่กับประเภทของกองทุน เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยง หรือไม่ค่อยมีเวลาเลือกทรัพย์สินรายตัว
4. อนุพันธ์ (Derivative) เปรียบเสมือน “เครื่องเทศ”
ช่วยเพิ่มรสชาติให้กับอาหาร แต่ต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง เพราะมีความเสี่ยงสูง เหมาะกับนักลงทุนที่มีประสบการณ์
ที่สำคัญ เครื่องเทศต้องกินประกอบกับอาหารจานหลัก ในปริมาณที่เหมาะสม ถ้ากินเพียว ๆ ในปริมาณมาก ๆ ก็มีความเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตได้..
5. เงินเฟ้อ (Inflation) ก็ตรงตัว คือการที่ “ราคาอาหารเพิ่มขึ้น” ซึ่งทำให้เงินจำนวนเท่าเดิมในกระเป๋าของเรา ใช้ซื้ออาหารได้น้อยลง
เปรียบกับการลงทุน เงินเฟ้อที่สูงขึ้น จะกัดกินอัตราผลตอบแทนที่แท้จริงจากการลงทุน (หลังหักเงินเฟ้อ) ให้ลดลง
ดังนั้น นักลงทุนจึงควรเลือกทรัพย์สินที่สามารถป้องกันเงินเฟ้อได้ ติดไว้ในพอร์ตด้วย
6. ความผันผวน (Volatility) เปรียบเสมือน “ความเผ็ดร้อนของอาหาร”
ที่เราควรเลือกระดับความผันผวน ที่เหมาะกับความเสี่ยงที่รับได้ของแต่ละคน
คนที่กินเผ็ดเก่ง มีประสบการณ์ ก็สามารถลงทุนในทรัพย์สินที่มีความผันผวนสูงได้มากกว่า คนที่กินเผ็ดไม่เก่ง หรือไม่กินเผ็ด
7. การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) เปรียบเสมือน “การชิมอาหารก่อนสั่ง”
เพื่อวิเคราะห์คุณภาพของวัตถุดิบ วิธีการปรุง รสชาติ กลิ่น รวมไปถึงฝีมือของเชฟ ภาพลักษณ์ของอาหาร และชื่อเสียงของร้าน
และตัดสินใจว่าอาหารจานนั้น อร่อยคุ้มค่าที่จะจ่ายเงินให้หรือไม่
ซึ่งก็เหมือนกับการที่เราต้องวิเคราะห์พื้นฐานของบริษัท ที่เราจะไปลงทุน เพื่อให้มั่นใจจริง ๆ ว่า บริษัทนั้นดีเพียงพอ และบริหารโดยคนที่ไว้ใจได้ ให้ดูแลเงินลงทุนของเรา
8. การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) เปรียบเสมือน “การดูเมนูอาหาร”
การดูเมนูอาหาร บางครั้งก็จะมีทั้งเมนูยอดฮิต เมนูแนะนำ และเมนูที่ไม่ค่อยมีคนสั่ง ซึ่งบ่อยครั้งเรามักจะเลือกเมนูยอดฮิตเป็นอันดับแรกแทน
เหมือนกับการวิเคราะห์ราคาและปริมาณการซื้อขายในอดีตของหุ้นแต่ละตัว ที่มีคนรู้จักและซื้อขายมากน้อยแตกต่างกันไป เพื่อประเมินพฤติกรรมของราคาทรัพย์สินนั้นในตลาด และคาดการณ์แนวโน้มราคาในอนาคต
9. การกระจายความเสี่ยง (Diversification) เปรียบดั่ง “การสั่งอาหารหลายอย่าง”
ในทุก ๆ วัน ไม่ควรกินอาหารประเภทเดียว เพื่อลดความเสี่ยงหากอาหารจานใดจานหนึ่งไม่อร่อย และทำให้เราไม่ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน
ก็เหมือนกับการลงทุน ที่จะต้องบริหารความเสี่ยงการลงทุนให้ดี มีการกระจายการลงทุนไปในหุ้นหลาย ๆ อุตสาหกรรม หรือหลาย ๆ ทรัพย์สิน
เพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ตเราโดยรวม และให้เรามั่นใจขึ้นว่า การลงทุนของเรา จะได้รับความมั่งคั่งกลับมาอย่างที่เราตั้งใจไว้
10. กองทุนอิงดัชนี (Index Fund) เปรียบเสมือน “อาหารแบบบุฟเฟต์”
เพราะบุฟเฟต์ เป็นการมัดรวมอาหารหลาย ๆ อย่างให้เรามาในที่เดียว และจ่ายเพียงราคาเหมาทั้งหมด
ซึ่งก็คล้ายกับกองทุนอิงดัชนี ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิง (Benchmark Index) เช่น ดัชนี SET50, ดัชนี S&P 500
โดยกองทุนอิงดัชนี จะเหมาลงทุนในหลักทรัพย์ทั้งหมดที่เป็นส่วนประกอบของดัชนีนั้น ๆ จึงเป็นการกระจายความเสี่ยงการลงทุนไปในตัวด้วยเช่นกัน
เหมือนกับการที่เราได้กินอาหารหลายชนิดในชุดเดียว ถ้ามีบางอย่างไม่อร่อย ก็ยังมีอย่างอื่นให้กิน
สุดท้ายแล้ว อาหารที่อร่อยสำหรับแต่ละคน ก็คงไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับสไตล์และความชอบส่วนตัว ที่ถูกปากแตกต่างกันออกไป
ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการลงทุน ที่ทุกคนต้องเข้าใจตัวเองก่อนว่า มีจริตและสไตล์การลงทุนอย่างไร เพื่อให้เราเลือกได้ว่า ชอบและเหมาะกับการลงทุนแบบไหน
แต่ข้อสำคัญที่สุด ก็ต้องไม่ลืมบริหารและกระจายความเสี่ยงการลงทุนอย่างรอบคอบด้วยเช่นกัน..
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon