“ปัญญ์ปุริ” กับการร่วมทุนเพื่อก้าวสู่ Global Brand ในด้านสุขภาพและความงามแบบองค์รวม

“ปัญญ์ปุริ” กับการร่วมทุนเพื่อก้าวสู่ Global Brand ในด้านสุขภาพและความงามแบบองค์รวม

ปัญญ์ปุริ X ลงทุนแมน
ช่วงที่ผ่านมา เราน่าจะได้เห็นดีล “การซื้อกิจการ” และ “ร่วมทุน” เกิดขึ้นมากมาย เช่น L'Oreal บริษัทความงามที่มีมูลค่ามากสุดในโลก เข้าซื้อกิจการ Aesop 86,000 ล้านบาท หากขยับใกล้ตัวเข้ามาอีกหน่อยก็คือดีล เจมาร์ท เข้าร่วมทุนร้านสุกี้ตี๋น้อยในสัดส่วน 30%
หลายคนอาจจะแยกความแตกต่างกันของ 2 ดีลนี้ไม่ออก
สรุปให้เข้าใจง่าย ๆ คือ ดีล L'Oreal เป็นการซื้อกิจการโดยตรง ที่จะทำให้ L'Oreal กลายเป็นเจ้าของ Aesop พร้อมกับมีอำนาจบริหารธุรกิจในบริษัททั้งหมด
แตกต่างจากดีลของทาง เจมาร์ท ที่เป็นการร่วมทุน ที่จะช่วยให้สุกี้ตี๋น้อย ขยายธุรกิจเติบโตเร็วขึ้นจากการสนับสนุนเงินทุนและจุดแข็งของบริษัท แต่อำนาจการบริหารทั้งหมด ยังอยู่กับคุณนัทธมน พิศาลกิจวนิช เจ้าของแบรนด์สุกี้ตี๋น้อย
ส่วนดีลล่าสุดเมื่อปลายปี ที่สร้างเสียงฮือฮาในวงการธุรกิจ Beauty and Wellness ของไทย คือ KOSÉ บริษัทความงามระดับโลกจากประเทศญี่ปุ่นที่เข้าร่วมทุนกับ “ปัญญ์ปุริ” (การร่วมทุนครั้งนี้ ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดด้านการเงิน และสัดส่วนการถือหุ้น)
จริง ๆ แล้วดีลดังกล่าวนี้ก็ไม่ได้แตกต่างจากดีล “เจมาร์ท ร่วมทุนกับ สุกี้ตี๋น้อย” โดยอำนาจบริหารและการขับเคลื่อนธุรกิจยังอยู่ในมือคุณวรวิทย์ ศิริพากย์ CEO และผู้สร้างแบรนด์ ปัญญ์ปุริ แบรนด์เครื่องหอม และความงาม Luxury
คำถามก็คือ การร่วมทุนครั้งนี้ จะสร้างความแตกต่างให้ปัญญ์ปุริอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
“อนาคตอันใกล้ผมอยากเห็น ปัญญ์ปุริ เป็นแบรนด์เครื่องหอม และสกินแคร์ วางขายกว่า 100 ประเทศทั่วโลก เพื่อยืนยันว่าคนไทยสามารถสร้างแบรนด์ Beauty & Wellness ระดับ Luxury ให้ประสบความสำเร็จได้ในตลาดโลก”
เป็นคำพูดที่คุณวรวิทย์ ได้ให้สัมภาษณ์ไว้กับทางลงทุนแมน
ดูเหมือนเป้าหมายนี้ หากทำอยู่คนเดียวก็ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไร ?
เพราะหากย้อนไปสู่จุดเริ่มต้นของ “ปัญญ์ปุริ” เกิดจาก Passion ของคุณวรวิทย์ ที่มีความฝันอยากจะนำวัตถุดิบ และไอเดียนวัตกรรมคนไทย มาผลิตเครื่องหอม และสกินแคร์ ในระดับ Luxury ที่สามารถแข่งขันกับแบรนด์ต่างชาติได้
ดูเหมือนว่า Passion นี้จะมาถูกทาง
เมื่อปัจจุบัน ปัญญ์ปุริ ขยายธุรกิจไป 15 ประเทศทั่วโลก ส่วนในประเทศมีร้านค้ากว่า 26 สาขา จนถึงช่องทางออนไลน์ ทั้งของบริษัทเองและอีคอมเมิร์ซต่าง ๆ
โดยใน 8 เดือนแรกของปี 2567 บริษัทมีรายได้ 943 ล้านบาท และปิดปี 2567 รายได้ทะลุ 1,100 ล้านบาท
ทีนี้โจทย์ของ ปัญญ์ปุริ คือหากต้องการให้บริษัทมีรายได้เติบโตก้าวกระโดดต่อเนื่อง จำเป็นต้องปลดล็อก เปลี่ยนสถานะตัวเองจาก Local Brand ให้เป็นแบรนด์เครื่องหอมและความงาม Luxury ที่มีสินค้าวางขายในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลกให้มากกว่านี้
จริง ๆ แล้วมันก็มีอยู่หลายวิธีเลยทีเดียว
โดยหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดคือ การร่วมทุนกับบริษัทระดับโลก ที่มีความเชื่อและอุดมการณ์เดียวกัน ที่สำคัญต้องเป็นบริษัทที่เห็นคุณค่าและศักยภาพของ ปัญญ์ปุริ
ด้าน KOSÉ เองก็มีความแข็งแกร่งทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์สินค้าความงามมากมายที่อยู่ในมือ พร้อมขยายธุรกิจไปทั้งในทวีปเอเชีย, อเมริกา, ยุโรป โดยทาง KOSÉ เองจะมาแชร์ประสบการณ์ และสายสัมพันธ์ที่มีอยู่ทั่วโลก
สอดคล้องกับคำพูดของ คุณวรวิทย์ ที่บอกว่า การร่วมทุนกับ KOSÉ จะช่วยให้ ปัญญ์ปุริ ขยายตลาดต่างประเทศได้รวดเร็วและเสริมความแข็งแกร่ง ด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่จะทำให้ ปัญญ์ปุริ สร้างประสบการณ์ความงาม และสุขภาพที่ยั่งยืนให้แก่อุตสาหกรรมนี้ ผ่านการคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อขยาย Portfolio ของตัวเองให้ใหญ่ขึ้น
ผลลัพธ์ที่ได้คือ ปัญญ์ปุริ จะมีสินค้าในการสร้างรายได้หลากหลายกว่าในอดีต จนถึงการขยายตลาดไปยังต่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้น
อีกประเด็นที่น่าจับตามองไม่แพ้กันก็คือ ด้วยการที่ KOSÉ เป็นบริษัทความงามที่มีเทคโนโลยีขั้นสูง ทำให้เราอาจได้เห็นการร่วมมือสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ หรือธุรกิจใหม่ ๆ ในอนาคต
ส่วนจะเป็นรูปแบบอย่างไรนั้น คงต้องติดตามกันต่อไป
สุดท้ายดีลนี้ จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากความเชื่อและทัศนคติของทั้ง 2 บริษัท ไม่คลิกกันลงตัว
KOSÉ มีนโยบายมุ่งเน้นการเติบโตระดับโลก ผ่านความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับแบรนด์ที่มีคุณค่าร่วมกัน ที่สำคัญต้องเป็นแบรนด์ที่ทำธุรกิจด้วยแนวคิดยั่งยืน ไม่ใช่ทำธุรกิจตามกระแสแบบฉาบฉวย
โดยคุณคาซุโตชิ โคบายาชิ ประธานบริษัทและซีอีโอของโคเซ่ คอร์ปอเรชั่น ให้เหตุผลเพิ่มเติมว่า การเข้าร่วมทุนกับ ปัญญ์ปุริ นอกจากจะเป็นแบรนด์ ที่ผู้บริโภคหลายประเทศชื่นชอบแล้วนั้น ก็ยังมีคาแรกเตอร์ตัวตนที่ชัดเจน ด้วยการหยิบศาสตร์เครื่องหอม ที่เป็นมรดกวัฒนธรรมไทย มาเป็นส่วนหนึ่งในการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์
สอดคล้องกับปรัชญาของ KOSÉ ที่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้
เพราะมันคือการสร้างแต้มต่อในการแข่งขัน ที่จะทำให้แบรนด์สามารถผลิตสินค้าคุณภาพสูง สร้างความแตกต่างเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคได้มากกว่าแบรนด์ที่ไม่มีจุดแข็งในเรื่องนี้
ดูเหมือนไอเดียนี้จะมาถูกที่ถูกเวลา เมื่อเวลานี้กระแส Thai Power กำลังเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น
Lisa Blackpink ที่กลายเป็นศิลปินไทยระดับโลกไปเป็นที่เรียบร้อย
อาหารไทย ที่นับวันจะเพิ่มความนิยมไปยังหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก
ศาสตร์ความงามและสปาเอง ก็เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
กระแสเหล่านี้ เสมือนเป็นสปริงบอร์ดที่จะช่วยให้เมื่อเวลา ปัญญ์ปุริ ขยายธุรกิจไปยังประเทศต่าง ๆ ก็จะสร้างการรับรู้แบบกว้างและยอดขาย
สุดท้ายมาถึงคำถามที่หลายคนน่าจะอยากรู้มากที่สุด นั่นคือ ในอนาคต คุณวรวิทย์ จะยังคงถือหุ้นในบริษัท ปัญญ์ปุริ ต่อไปหรือไม่ ?
“ตัวผมเองยังมี Passion ขับเคลื่อนแบรนด์นี้ที่สร้างมากับมือ ทั้งการบริหารจัดการและการถือหุ้นในบริษัทเพื่อให้มั่นใจว่าในอนาคตการเติบโตของแบรนด์ในตลาดโลก จะยังคงเอกลักษณ์ของ ปัญญ์ปุริ และความเป็นไทย ที่ยังคงชัดเจนในตลาดโลก การร่วมมือกับ KOSÉ ก็เพื่อเป้าหมายนี้”
ดีลการร่วมทุนครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่ง Case Study ให้แก่เจ้าของธุรกิจ SME ไทยในการ “ร่วมทุน” ที่พันธมิตรจะไม่ใช่แค่สนับสนุนด้านเงินลงทุนเพียงอย่างเดียว
แต่ทั้ง KOSÉ และ ปัญญ์ปุริ เชื่อว่าทั้ง 2 ฝ่าย ต่างนำจุดแข็งของตัวเอง มาใช้สนับสนุนทั้งการให้ความรู้, เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อให้ปัญญ์ปุริเติบโตในตลาดโลก
สุดท้ายเมื่อเวลาผ่านไป พอเราหันกลับมาดูอีกที
อาจเห็น ปัญญ์ปุริ เป็นแบรนด์เครื่องหอมความงามคนไทยที่ประสบความสำเร็จในตลาดโลก ที่จะเป็นทั้งตำนานและสร้างแรงบันดาลใจให้แก่เจ้าของ SME ไทยว่า
“SME แบรนด์ไทยเล็ก ๆ หากไม่หยุดนิ่ง พัฒนาตัวเองไปเรื่อย ๆ และกล้าที่จะฝัน ก็สามารถเปิดประตูแห่งโอกาสไปสู่การเป็นแบรนด์ระดับโลกได้เหมือนกัน”
References
- ข่าวประชาสัมพันธ์และข้อมูลสัมภาษณ์คุณวรวิทย์ ศิริพากย์ ผู้ก่อตั้งและเจ้าของแบรนด์ ปัญญ์ปุริ
- https://www.longtunman.com/53136
- https://www.voguebusiness.com/companies/loreal-to-acquire-aesop-in-dollar25-billion-deal
- https://corp.kose.co.jp/en/global/

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

SPONSORED
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon