บริษัทนี้ก่อตั้งเมื่อ 40 ปีที่แล้ว โดยคุณ Roy Raymond รู้สึกเขินอายทุกครั้งที่จะต้องเข้าไปซื้อชุดชั้นในให้ภรรยาในห้างสรรพสินค้า เขาจึงปิ๊งไอเดียว่าจะเปิดร้านชุดชั้นในที่ให้ผู้ชายเข้าได้โดยไม่เขินอาย และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของแบรนด์ Victoria’s Secret..

คุณ Raymond เลือกชื่อ Victoria เพราะอ้างอิงจากยุคราชินีวิคตอเรียอันโด่งดังของประเทศอังกฤษ และ Secret มาจากสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อผ้า พอมารวมกันชื่อนี้จึงสะดุดตา และน่าค้นหา

คุณ Raymond ขายชุดชั้นในผ่านทั้งหน้าร้าน และขายตรงผ่านแคตาล็อก (คล้ายมิสทีนบ้านเรา) แต่อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์การเลือกโฟกัสเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้ชายนั้นไม่เวิร์ค และทำให้บริษัทขาดทุน ต่อมาคุณ Raymond จึงขายกิจการให้คุณ Leslie Wexner เจ้าของบริษัท L Brands ซึ่งยังเป็นเจ้าของแบรนด์ Bath & Body Works อีกด้วย

คุณ Wexner เปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่มาโฟกัสที่ผู้หญิง และออกแบบชุดชั้นในให้ เซ็กซี่ มีสีสันและลวดลาย ซึ่งกลยุทธ์นี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี และเริ่มขยายสาขาอย่างรวดเร็ว

ปกติแล้วคนทั่วไปจะซื้อชุดชั้นในเป็นแพ็ค เช่น แพ็คละ 3 ตัว จากห้างสรรพสินค้า และจะซื้อชุดชั้นในที่มีลวดลายในโอกาสพิเศษเท่านั้น แต่ Victoria’s Secret สามารถทำให้คนซื้อชุดชั้นในประเภทนี้มากขึ้น และแย่งส่วนแบ่งตลาดดั้งเดิมจากห้างสรรพสินค้าได้

ในช่วงหลังสิ่งที่ทำให้แบรนด์นี้โด่งดังคือการแสดงแฟชั่นโชว์ประจำปี ซึ่งจะมีคนรอชมทั่วโลก เพราะนอกเหนือจากนางแบบชื่อดังแล้ว การแสดงนี้ยังมีนักร้องชื่อดังระดับโลกร่วมแสดงบนเวทีด้วย เช่นปีล่าสุด มี เลดี้ กาก้า และ บรูโน่ มาร์ส

ปัจจุบัน Victoria’s Secret มี 983 สาขาในอเมริกา และ มี Franchise 303 สาขาทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทย

Victoria’s Secret มียอดขาย 252,245 ล้านบาท และมีกำไรจากการดำเนินงานมากถึง 44,485 ล้านบาท

แล้วประเทศไทยหล่ะ มีบริษัทชุดชั้นในบ้างไหม?

คำตอบคือ บริษัทวาโก้ เป็นบริษัทใหญ่สุดของไทยที่ขายชุดชั้นใน มียอดขาย 4,313 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 310 ล้านบาท

ดูเหมือนว่าบริษัทชุดชั้นในไทยยังดูห่างไกลจากบริษัทชุดชั้นในระดับโลกอยู่มาก

อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ทำให้คิดได้ว่าบริษัทชุดชั้นในอันดับ 1 ของโลก มีจุดเริ่มต้นมาจากผู้ชายที่ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับชุดชั้นในผู้หญิงเลย

เราอาจจะไม่ต้องกลัว เริ่มต้น ทดลองทำธุรกิจที่มีไอเดียใหม่ๆ แล้วอนาคตอาจจะประสบความสำเร็จเหมือน Victoria's Secret ก็เป็นได้