ผู้ก่อตั้ง Netflix อยากทำสตรีมมิง ตั้งแต่วันที่อินเทอร์เน็ต ยังโหลดหนังไม่ได้

ผู้ก่อตั้ง Netflix อยากทำสตรีมมิง ตั้งแต่วันที่อินเทอร์เน็ต ยังโหลดหนังไม่ได้

ผู้ก่อตั้ง Netflix อยากทำสตรีมมิง ตั้งแต่วันที่อินเทอร์เน็ต ยังโหลดหนังไม่ได้ /โดย ลงทุนแมน
“วันแรกเมื่อ 27 ปีก่อน Netflix อยากทำธุรกิจ
สตรีมมิงภาพยนตร์เหมือนทุกวันนี้ แต่ทำไม่ได้”
โดยคุณ Reed Hastings อยากให้ Netflix เป็นแพลตฟอร์มที่ดูภาพยนตร์ได้ทุกที่ ทุกเวลา
แต่เทคโนโลยีในตอนนั้น ยังไม่พร้อม แถมอินเทอร์เน็ตก็ยังแรงไม่พอที่จะสตรีมมิงได้
ถ้าเป็นคนทั่วไป ก็คงพับโปรเจกต์และยอมแพ้ไปแล้ว
แต่คุณ Reed Hastings กลับบอกตัวเองว่า
ไม่พร้อมก็ไม่เป็นไร เราเริ่มลุยกันไปเลย..
จากความกล้าและบ้าบิ่นของเขาในวันแรก
วันนี้ Netflix กลายมาเป็นเบอร์ 1 ของอุตสาหกรรมสตรีมมิงภาพยนตร์ ไปเป็นที่เรียบร้อย
ทำไมวันนั้นคุณ Reed Hastings ถึงกล้าทำ Netflix ทั้งที่ไม่มีอะไรเป็นใจกับเขาเลย
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
ภาวะเงินเฟ้อ ตลาดผันผวนแบบนี้ ติดตามข่าวเศรษฐกิจแบบเน้น ๆ จากหลายเพจได้ใน Blockdit - คอนเทนต์แพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานเป็นประจำ 2 ล้านคน ลองใช้ฟรี blockdit.com/download
╚═══════════╝
ย้อนไปเมื่อ 27 ปีก่อน คุณ Reed Hastings เป็น
คอหนังภาพยนตร์อยู่แล้ว จนกระทั่งวันหนึ่ง
มีเหตุการณ์ที่ทำให้คุณ Reed โมโหหนักมาก
เพราะเขาโดนปรับเงินประมาณ 1,200 บาท
จากการคืนวิดีโอล่าช้า ที่ร้านเช่าหนัง Blockbuster
Blockbuster ตอนนั้น เป็นเจ้าตลาดธุรกิจให้เช่าภาพยนตร์ โดยให้คนเข้าไปเช่าวิดีโอเทป
จนรายได้จากค่าปรับ จากการที่คนมักลืมคืนวิดีโอเทปไม่ตรงเวลา กลายมาเป็นรายได้หลักของธุรกิจ
จากความโกรธของคุณ Reed ก็เปลี่ยนเป็นไอเดียธุรกิจ ที่จะให้เช่าวิดีโอแบบไม่ต้องเสียค่าปรับเลย
รวมถึงยังต่อยอดเป็นการให้ลูกค้าได้ดูภาพยนตร์ที่ไหนก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปที่ร้านเพื่อเช่าวิดีโอ
สองไอเดียตั้งต้นตรงนี้ ทำให้คุณ Reed Hastings ตัดสินใจปั้นธุรกิจ Netflix ขึ้นมา โดยชูจุดเด่นไม่มีค่าปรับ
และไม่ต้องเดินทางมาเช่าวิดีโอที่ร้าน
แต่ปัญหาคือ ม้วนวิดีโอเทป มีขนาดใหญ่เทอะทะ และเสี่ยงต่อการแตกหักได้ง่าย
การที่ Netflix จะส่งวิดีโอเทปให้เช่าไปทางไปรษณีย์
ก็แทบเป็นไปไม่ได้ เพราะน่าจะเสียหายก่อนถึงมือลูกค้าแทน
คุณ Reed เลยแก้ปัญหา ด้วยการส่งแผ่นดีวีดี
ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น ไปถึงบ้านลูกค้า ที่ต้องการเช่าวิดีโอแทน
โดยลูกค้า จะจ่ายค่าสมาชิกเดือนละ 20 ดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ Netflix มีรายได้ที่ค่อนข้างแน่นอน แถมยังคาดการณ์รายได้ล่วงหน้าได้อีกด้วย
แม้โมเดลธุรกิจใหม่กำลังไปได้สวย แต่สุดท้ายก็มาสะดุดลงในปี 2000 จากวิกฤติฟองสบู่ดอตคอม ทำให้ Netflix เจอปัญหาทางการเงิน
จนคุณ Reed ก็จำใจต้องปล่อยขายกิจการ Netflix ให้กับ Blockbuster เจ้าตลาดร้านเช่าภาพยนตร์ในตอนนั้น
ด้วยมูลค่ากิจการ 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
หรือคิดเป็นเงินปัจจุบันราว 3,300 ล้านบาท
แต่ Blockbuster กลับบอกปัด แถมยังบอกว่า Netflix ขายแพงไป พอโดนปฏิเสธ ความโกรธ
ของคุณ Reed ก็พลุ่งพล่านอีกครั้ง
และตั้งเป้าให้ Netflix กลายเป็นบริการหลัก ที่ลูกค้าจะขาดไม่ได้ และตั้งใจแข่งกับ Blockbuster ว่าใครจะเป็นผู้ชนะที่ครองใจลูกค้าได้มากกว่า
โดย Netflix ปรับกลยุทธ์ใหม่ ด้วยการเปิดเว็บไซต์ให้ลูกค้าเลือกดีวีดีภาพยนตร์ที่ต้องการเช่า ก่อนจัดส่งไปให้ถึงบ้านได้เลย จากเดิมที่ต้องมาเช่าที่หน้าร้าน หรือให้สมาชิกโทรสั่งในแต่ละครั้งที่ต้องการดู
และอีกท่าไม้ตายที่ไม่เหมือน Blockbuster คือ
ระบบแนะนำภาพยนตร์ เพื่อให้ลูกค้ารู้จักภาพยนตร์เรื่องใหม่ ๆ แถมยังช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้นด้วย
สองท่าไม้ตายที่ Netflix ทำ ก็ค่อย ๆ ดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการมากขึ้น จนสามารถพาบริษัทจดทะเบียนเข้าตลาดหุ้น NASDAQ ของสหรัฐอเมริกา ได้สำเร็จในปี 2002
ซึ่งกว่า Blockbuster จะรู้ตัวว่าโดนแย่งลูกค้าไปเยอะแล้ว ก็ในปี 2004 ที่เปลี่ยนให้เช่าดีวีดี แทนวิดีโอเทป ซึ่ง Netflix ทำมาตั้งนานแล้ว
วันแล้ววันเล่า ลูกค้าของ Blockbuster ก็หายไปมากขึ้น จนในที่สุด Netflix ก็โค่นล้ม Blockbuster เจ้าตลาดร้านเช่าวิดีโอได้สำเร็จ
แม้จะได้ความสะใจที่เห็น Blockbuster ถูกโค่นไป
แต่สิ่งหนึ่งที่คุณ Reed ไม่เคยลืม นั่นคือ อยากทำสตรีมมิงภาพยนตร์ ที่ดูได้ทุกที่ ทุกเวลาจริง ๆ
เพราะในตอนนั้นคงไม่มีใคร แบกเครื่องเล่นดีวีดี ไปตามสวนสาธารณะ ห้องสมุด ร้านอาหาร หรือร้านกาแฟ เพื่อดูดีวีดีที่เช่ามา
จนในปี 2007 หรือ 10 ปีหลังจากก่อตั้งธุรกิจ วันเวลาที่คุณ Reed รอคอยก็มาถึง..
โดย Netflix สามารถให้บริการสตรีมมิงภาพยนตร์ ผ่านอินเทอร์เน็ตได้เป็นครั้งแรก เพราะเป็นช่วงเวลาที่อินเทอร์เน็ต มีความแรงพอที่จะสตรีมมิงได้
ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่สามารถรองรับบริการ Netflix ได้ อย่าง iPhone เกิดขึ้น และตามมาด้วย iPad ในภายหลัง
แต่การขยับมาให้บริการสตรีมมิง ก็ไม่ง่าย เพราะต้องเจอคู่แข่งตัวฉกาจอย่าง HBO บริษัทลูกของ AT&T เจ้าของสตูดิโอ Warner Bros.
ซึ่งตอนนั้น HBO มีทั้ง Cable TV ของตัวเอง มีคอนเทนต์ของตัวเอง แถมยังออกบริการสตรีมมิงชื่อ HBO GO ที่มีจำนวนสมาชิกกว่า 100 ล้านคน
ในขณะที่ Netflix มีสมาชิกในระบบแค่ 7 ล้านคนเท่านั้น
คุณ Reed จึงเลือกที่จะจับมือกับ HBO พร้อมขอลิขสิทธิ์มาฉายบน Netflix แต่สุดท้าย HBO กลับปฏิเสธดีลนี้แทน
แต่ Netflix พยายามมองหาช่องโหว่ จนเห็นว่าลูกค้าที่สมัครสมาชิก HBO ได้ จะต้องเป็นลูกค้าที่เป็นสมาชิก Cable TV ของ HBO อยู่แล้วเท่านั้น จึงมีข้อจำกัดในการดึงดูดลูกค้าใหม่
เมื่อมีช่องโหว่ Netflix ก็ไม่รอช้าที่จะโจมตี
ด้วยการทำ Original Content ของตัวเอง ที่หาดูไม่ได้จากที่อื่น แทนที่จะมีเฉพาะคอนเทนต์ซ้ำ ๆ เดิม ๆ เท่านั้น
จากซีรีส์ House of Cards ที่เป็น Original Content ของ Netflix ที่ประสบความสำเร็จถล่มทลาย และอีกหลาย ๆ เรื่องที่ทำออกมา ก็ทำให้ Netflix เอาชนะ HBO ได้ในที่สุด
แม้ปัจจุบัน จะมีคู่แข่งทั้ง Disney, HBO, Amazon Prime, Apple TV+
แต่ Netflix ก็ยังล้ำหน้าคู่แข่ง ทั้งในด้านจำนวนสมาชิก และความหลากหลายของคอนเทนต์
นอกจากนี้ Netflix ยังพยายามขยายกลุ่มเป้าหมาย ด้วยการออกแพ็กเกจราคาถูก ที่มีโฆษณาคั่นระหว่างดู
การทำแบบนี้ ทำให้ Netflix ดึงลูกค้าหน้าใหม่ให้เข้ามาลองใช้ครั้งแรก และต่อไปอาจอัปเซลกับลูกค้าเหล่านี้ ให้กลายเป็นลูกค้าแพ็กเกจพรีเมียมขึ้นได้ เพราะถึงจุดหนึ่งอาจรำคาญโฆษณาที่ขึ้นมาแทรกระหว่างดู
จากความฝันอันยิ่งใหญ่ ที่ดูเป็นไปไม่ได้ ในการทำสตรีมมิงภาพยนตร์ ที่คนทั่วโลก สามารถดูได้ทุกที่ ทุกเวลา และทุกเรื่อง ในยุคที่อะไร ๆ ก็ยังไม่พร้อม
และกว่าความฝันจะเป็นจริง ก็ต้องรอและใช้เวลา 10 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งธุรกิจเลยทีเดียว
สิ่งนี้ทำให้คุณ Reed Hastings ผู้ก่อตั้ง Netflix กลายเป็นคนพิเศษ ที่ไม่เหมือนกับคนทั่วไป
เพราะคนธรรมดา อาจรอให้ทุกอย่างพร้อม ก่อนจะทำ
แต่คุณ Reed กล้าเริ่มลงมือทำ ปั้น Netflix และปูทางสำหรับธุรกิจสตรีมมิง ตั้งแต่เนิ่น ๆ
ทั้งที่อินเทอร์เน็ตในตอนนั้น ยังไม่แรงพอจะดาวน์โหลดภาพยนตร์มาดูได้สักเรื่องด้วยซ้ำ..
╔═══════════╗
ภาวะเงินเฟ้อ ตลาดผันผวนแบบนี้ ติดตามข่าวเศรษฐกิจแบบเน้น ๆ จากหลายเพจได้ใน Blockdit - คอนเทนต์แพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานเป็นประจำ 2 ล้านคน ลองใช้ฟรี blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
TikTok - tiktok.com/@longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงทุนแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
Reference
-หนังสือ Blitzscaling โดย Reid Hoffman และ Chris Yeh

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

SPONSORED
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon