เจ้าของซีรีส์ House of the Dragon สองปี ขาดทุนเกือบ 4 แสนล้าน ราคาหุ้น -70%

เจ้าของซีรีส์ House of the Dragon สองปี ขาดทุนเกือบ 4 แสนล้าน ราคาหุ้น -70%

เจ้าของซีรีส์ House of the Dragon สองปี ขาดทุนเกือบ 4 แสนล้าน ราคาหุ้น -70% /โดย ลงทุนแมน
หลายคนน่าจะได้ดู หรือเห็นโฆษณา ของซีรีส์ House of the Dragon ที่เป็นเรื่องราวก่อนหน้าของซีรีส์ดังอย่าง Game of Thrones

แต่รู้หรือไม่ว่า เจ้าของซีรีส์ทั้งสองเรื่องอย่าง Warner Bros. Discovery, Inc. (WBD) มีผลขาดทุน 2 ปีล่าสุด รวมกันเกือบ 4 แสนล้านบาท จนทำให้มูลค่าบริษัทของ WBD ไหลรูดลงมาจน -70% จากปี 2022
ซึ่งในปี 2023 การขาดทุนกว่า 80% ก็มาจากธุรกิจสตรีมมิง ของบริษัทอย่าง Max หรือ HBO GO ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่เรากำลังใช้ดู House of the Dragon นั่นเอง
สถานการณ์ของ WBD แย่ขนาดไหน ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
ภาวะเงินเฟ้อ ตลาดผันผวนแบบนี้ ติดตามข่าวเศรษฐกิจแบบเน้น ๆ จากหลายเพจได้ใน Blockdit - คอนเทนต์แพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานเป็นประจำ 2 ล้านคน ลองใช้ฟรี blockdit.com/download
╚═══════════╝
Warner Bros เริ่มจากธุรกิจหนังกลางแปลงในปี 1889 ด้วยเงินทุนตั้งต้น 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.2 ล้านบาทในปัจจุบัน
ก่อนที่จะขยายธุรกิจมาผลิตภาพยนตร์ และแอนิเมชัน จนกลายเป็นบริษัทผลิตภาพยนตร์ชั้นนำของสหรัฐอเมริกา
แต่จุดเปลี่ยนก็มาถึง เมื่อบริษัทต้องเจอกับความเข้มงวดด้านความรุนแรงของเนื้อหา ไปจนถึงเรื่องการผูกขาด รวมถึงการมาของโทรทัศน์ที่ไม่ต่างอะไรกับการมาของแพลตฟอร์มสตรีมมิงในปัจจุบัน
นั่นก็เลยทำให้ Warner Bros ขาดทุนจนเกือบล้มละลาย และต้องขายกิจการให้คนอื่นในที่สุด
ซึ่ง Warner Bros ถูกซื้อขายไปมา และเปลี่ยนมือเจ้าของอยู่หลายครั้ง จนกลายเป็น Warner Bros. Discovery หรือ WBD ที่เกิดขึ้นจากการควบรวมกิจการกับ Discovery ในปี 2022
ตัดภาพมาตอนนี้ ธุรกิจของ WBD ทั้งหมดก็ยังเจอศึกหนักเหมือนเดิม ทั้งในธุรกิจเครือข่าย สตรีมมิง และวิดีโอ
เริ่มกันที่ธุรกิจเคเบิลทีวีต่าง ๆ เช่น Discovery, CNN, TNT, HBO และ Eurosport
อย่างที่เรารู้กันว่า ทุกวันนี้ มีแพลตฟอร์มสตรีมมิงเกิดขึ้นมากมาย ทั้ง Netflix, Disney+ ไปจนถึงแพลตฟอร์มอื่น อย่างเช่น YouTube, TikTok
ซึ่งแพลตฟอร์มพวกนี้ เรียกได้ว่าเข้ามาแย่งสายตาคนดูไปจากช่องทีวีแบบเดิม ๆ และเปลี่ยนหน้าตาของอุตสาหกรรมสื่อบันเทิงไปอย่างสิ้นเชิง
WBD ที่มีขาธุรกิจเคเบิลทีวี เป็นหนึ่งในรายได้หลักก็ได้รับผลกระทบไปเต็ม ๆ ซึ่งเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยเองด้วย
ซึ่งทางรอดต่อไปที่ WBD มองหา ก็คือ การปรับตัวมาเล่นในตลาดสตรีมมิงเสียเอง ด้วยการออกสตรีมมิงที่ชื่อว่า Max (ชื่อเดิมคือ HBO Max) ซึ่งในบ้านเราคือ HBO GO ที่กำลังฉายซีรีส์ยอดฮิตอย่าง House of the Dragon อยู่ในตอนนี้
แต่ก็เหมือนกับหนีเสือปะจระเข้ เพราะทุกวันนี้ ธุรกิจสตรีมมิงกำลังเป็นทะเลเดือด มีผู้เล่นมากมายเข้ามาแข่งขันและเป็นรายใหญ่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น
- Netflix
- Amazon Prime
- Disney+
ซึ่งตอนนี้มีแค่ Netflix และ Disney+ เท่านั้นที่มีกำไร ส่วนรายอื่น ๆ ยังขาดทุนอยู่ ซึ่งก็รวมถึง Max ของ WBD ที่ยิ่งทำยิ่งเหนื่อย และต้องแบกผลขาดทุนไปเรื่อย ๆ ทั้งที่ไม่ค่อยเติบโต
ผลการดำเนินงานธุรกิจสตรีมมิงของ WBD
ปี 2023 รายได้ 374,000 ล้านบาท ขาดทุน 94,000 ล้านบาท
ไตรมาส 1 ปี 2024 รายได้ 90,200 ล้านบาท ขาดทุน 19,800 ล้านบาท
มาต่อกันที่ธุรกิจสตูดิโอ ซึ่งเป็นผู้ผลิตภาพยนตร์ ที่มีรายได้จากการให้สิทธิ์การฉายกับโรงหนัง ช่องทีวี และแพลตฟอร์มสตรีมมิงอื่น
โดย WBD เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ที่มีชื่อเสียงมากมาย ทั้งซีรีส์ ภาพยนตร์ และตัวละคร เช่น
- Game of Thrones
- แฟรนไชส์ Harry Potter
- The Lord of the Rings และ The Hobbit
- ตัวละครใน DC Comics เช่น Batman, Superman, Wonder Woman, The Flash
แม้จากรายชื่อจะมีแต่เรื่องที่เรารู้จักกันดี แต่เมื่อผลิตออกมา ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จไปทุกเรื่อง หลาย ๆ ชิ้นงานกลับออกมาน่าผิดหวัง และทำกำไรได้น้อยกว่าที่คิด หรือบางครั้งถึงขั้นขาดทุนด้วยซ้ำ
ทำให้ WBD ต้องคอยผลิตคอนเทนต์ใหม่ออกมาเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นแนวทางที่ต้องใช้ต้นทุนสูง และต้องใช้เวลาในการลองผิดลองถูก ว่าจะปังหรือดับ
ต่อมาเราลองมาดู รายได้และกำไร ย้อนหลังของ WBD ทั้งบริษัทกันบ้าง
ปี 2021 รายได้ 447,000 ล้านบาท กำไร 37,400 ล้านบาท
ปี 2022 รายได้ 1,240,000 ล้านบาท ขาดทุน 272,000 ล้านบาท
ปี 2023 รายได้ 1,510,000 ล้านบาท ขาดทุน 115,000 ล้านบาท
ในปี 2022 ผลขาดทุนอย่างหนัก มาจากต้นทุนการปรับโครงสร้างในการควบรวมกับ Discovery ซึ่งบางส่วนลากยาวมาถึงปี 2023
อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายจากการตัดจำหน่ายสินทรัพย์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคอนเทนต์ที่ไม่ประสบความสำเร็จ
รวมถึงใช้เงินลงทุนที่สูงในการพัฒนาและปรับปรุงแพลตฟอร์ม HBO Max และการรวมแพลตฟอร์มระหว่าง HBO Max และ Discovery+ ให้เป็นแพลตฟอร์มเดียวกัน
ส่วนปี 2023 การขาดทุนกว่า 80% ก็มาจากธุรกิจสตรีมมิงนั่นเอง
มาถึงตรงนี้ ก็จะเห็นได้ว่า WBD กำลังเจอศึกรอบด้าน จากทุกธุรกิจในเครือ ซึ่งความไม่แน่นอนทั้งหมดนี้
ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มไม่มั่นใจ และถอยออกมา จนราคาหุ้นปรับตัวลดลงเกือบ -40% ภายในปีเดียว และ -70% ภายใน 2 ปี
ซึ่งก็น่าติดตามว่า WBD จะแบกสตรีมมิงที่ขาดทุนปีละเกือบแสนล้านบาท ไปอีกนานแค่ไหน
ถ้าตัดสตรีมมิงออกไป ผลประกอบการก็จะดูดีขึ้นผิดหูผิดตา และอาจพลิกกลับมาทำกำไรได้
แต่ก็อาจต้องแลกกับการปิดโอกาสทางธุรกิจ และลดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว ถ้ายังไม่เจอตัวเลือกอื่นที่ดีกว่า
จะเลือกเส้นทางไหน
และผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร
WBD คงต้องตัดสินใจ และยอมรับมันด้วยตัวเอง..
╔═══════════╗
ภาวะเงินเฟ้อ ตลาดผันผวนแบบนี้ ติดตามข่าวเศรษฐกิจแบบเน้น ๆ จากหลายเพจได้ใน Blockdit - คอนเทนต์แพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานเป็นประจำ 2 ล้านคน ลองใช้ฟรี blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
TikTok - tiktok.com/@longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงทุนแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

SPONSORED
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon