ทำไม มีคนกล่าวว่า เฟซบุ๊ก เป็น Patek Philippe แห่งอินเทอร์เน็ต ? /โดย ลงทุนแมน
วันนี้เป็น วันที่เฟซบุ๊กครบรอบ 20 ปี
ซักเคอร์เบิร์ก มีอายุ 19 ปี ตอนก่อตั้งเฟซบุ๊ก ตอนนี้อายุเขา 39 ปีแล้ว

และจากเมื่อวันศุกร์ที่หุ้นเมต้าขึ้น 20% เขาได้ก้าวขึ้นมาเป็นบุคคลที่มีทรัพย์สินมากที่สุดอันดับ 4 ของโลกแล้ว

มองไปในอนาคต ถ้าหุ้นเมต้าขึ้นมากกว่าหุ้นบริษัท LVMH, Tesla, Amazon ซึ่งเป็นของเศรษฐี 3 คน ที่รวยกว่าเขา ในระดับ 26%

ในวันนั้น ซักเคอร์เบิร์ก จะก้าวเป็นบุคคลที่รวยสุดในโลกด้วยอายุที่น้อยกว่าคนอื่น ๆ

ถ้าถามว่าอะไรเป็นเคล็ดลับของการที่เขาสร้างบริษัทด้วยตัวเอง และทำให้ก้าวขึ้นมาถึงจุดนี้ได้เร็ว ?

หนึ่งในคำตอบนั้นก็คงจะเป็นการที่เขาใช้ leverage จาก Network Effect ที่มีอยู่ทั่วโลก และเขาทำสิ่งนี้ให้คงอยู่ตลอดไปในระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมาได้

เมื่อวันศุกร์ ลงทุนแมน เจอการพูดถึงในสำนักข่าวต่างประเทศว่า

Is Meta truly the 'Patek Philippe of the internet'?

ซึ่งแปลว่าตอนนี้คนเริ่มเปรียบเทียบการลงทุนในบริษัท Meta กันแล้วว่า เหมือนการลงทุนในนาฬิกา ปาเต็ก ฟิลิปป์

หลายคนอาจทราบกันดีว่า นาฬิกา ปาเต็ก ฟิลิปป์ มีสโลแกนที่ว่า

“คุณไม่ได้ซื้อนาฬิกาให้ตัวคุณ แต่ซื้อเพื่อส่งต่อนาฬิกาให้รุ่นลูกรุ่นหลานของคุณ”

เช่นเดียวกัน ตอนนี้นักลงทุนบางกลุ่มกำลังมองว่า หุ้นเมต้า กำลังมีคุณสมบัติเทียบเคียงอย่างนั้น อย่างน้อยก็ 2 สิ่งต่อไปนี้..

1. ธุรกิจของเมต้า นั้นไม่มี Product ดังนั้นสินค้าจะไม่มีวันหมดอายุ บางคนบอกว่า Product ของธุรกิจเมต้านั้นก็คือ "ตัวผู้ใช้งาน" เอง ดังนั้นตราบใดที่ยังมีผู้ใช้งานอยู่ ผู้ใช้งานก็จะผลิตคอนเทนต์ที่ทันสมัยไปตลอดเวลาให้กับเมต้า โดยที่เมต้ามีหน้าที่เพียงแค่สนับสนุนให้ผู้ใช้งานผลิตสิ่งนั้น เหมือนอย่างกรณี Vision Pro ของ Apple ที่ออกมา แล้วคนนิยมกัน คนก็แชร์กันในสังคมโซเชียลของเมต้า ไม่ได้แชร์กันในเว็บไซต์ของ Apple..

2. ธุรกิจของเมต้า นั้นมี barrier to entry ที่สูงมากสูงเป็นอันดับต้น ๆ ในบรรดาทุกบริษัททั่วโลก และที่น่าสนใจคือ barrier to entry ของเมต้านั้น ตัวเมต้าไม่ได้สร้างขึ้นมา แต่กลับเป็นผู้ใช้งานของเมต้าที่เป็นคนสร้าง Network Effect ขึ้นมาเอง

สังคมโซเชียลมีเดียที่แข็งแกร่งที่สุด คือสังคมที่มีการเชื่อมต่อจากผู้คนทั่วโลกมากที่สุด ซึ่งสิ่งนั้นเกิดขึ้นครับ เฟซบุ๊ก และ อินสตาแกรม ที่เป็น 2 สังคมที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในโลกในขณะนี้

สิ่งที่ซักเคอร์เบิร์กต้องคอยทำก็คือ มองว่ามีแพลตฟอร์มโซเชียลประเภทไหนเกิดขึ้นมาแล้วมาแรง แล้วก็ก๊อปปี้สิ่งนั้นลงไปในแพลตฟอร์มตัวเองที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดอยู่แล้ว เหมือนที่เขาทำมาแล้วกับ Reels

ดูเหมือนว่างานที่บริษัทนี้ต้องทำก็คือการมองหาอนาคตเพื่อรักษาให้บริษัทยังคงมี Network Effect ต่อไปเรื่อย ๆ

สิ่งที่น่าสนใจก็คือ เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ซักเคอร์เบิร์ก ออกมาบอกว่าจะทำ Metaverse และแว่น VR ที่มีแบรนด์ชื่อ Quest ทุกคนหัวเราะเยาะบอกว่าไม่มีใครเข้าไปโลกนั้น

ในวันนี้ Vision Pro ของ Apple ออกมา กลายเป็นทุกคนอยากทดลองใช้ และหลายคนบอกว่าจะทำให้ Quest แย่ลง

แต่ถ้าคิดดูดี ๆ แล้ว การวางตำแหน่งแบรนด์ของ Apple ที่มีราคาสูงก็เทียบได้กับ iPhone ในตอนนี้ ซึ่งการได้รับความนิยมของ Vision Pro กลับจะช่วยส่งเสริมให้ตลาดนี้ให้ใหญ่ขึ้น

และหนึ่งในคนที่ได้ประโยชน์จากการที่ตลาดใหญ่ขึ้นมากที่สุดก็คือ Quest เพราะ Quest มีโอกาสอย่างสูงที่จะเป็น Android แห่งโลก VR ที่ขายสินค้าในราคาที่ทุกคนบนโลกเอื้อมถึง

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ทุกจังหวะการกระทำของ ชายเชื้อสายยิวคนนี้ ซักเคอร์เบิร์ก เขาคิดอย่างตรงประเด็น และกล้าทำในสิ่งที่คนอื่นดูว่าบ้า

ตั้งแต่การซื้อ อินสตาแกรม ราคาหลักแสนล้านบาท ทั้งที่ในวันนั้นอินสตาแกรมมีพนักงานหลักสิบคน ไปจนถึงกล้าทำ Metaverse และเปลี่ยนชื่อบริษัทตัวเอง

สิ่งที่เขาทำไปทั้งหมด ก็คงจะทำเพื่อ “ยืดอายุของบริษัท ให้ไม่มีวันหมดอายุ”

และเมื่อเขาสร้างระบบนิเวศได้ครบ เขาก็คงหวังว่าจะทำให้ธุรกิจคงอยู่ได้เป็นชั่วนิรันดร์ ไม่ต่างจากคำกล่าวที่ว่า บริษัทนี้ได้กลายเป็น ปาเต็ก ฟิลิปป์ แห่งอินเทอร์เน็ต เป็นที่เรียบร้อยแล้ว..
╔═══════════╗
ภาวะเงินเฟ้อ ตลาดผันผวนแบบนี้ ติดตามข่าวเศรษฐกิจแบบเน้น ๆ จากหลายเพจได้ใน Blockdit - คอนเทนต์แพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานเป็นประจำ 2 ล้านคน ลองใช้ฟรี blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
TikTok - tiktok.com/@longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงทุนแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman