ทำไม DAKASI ถึงเป็นแบรนด์ชานมไข่มุก ที่น่าจับตามอง

ทำไม DAKASI ถึงเป็นแบรนด์ชานมไข่มุก ที่น่าจับตามอง

ทำไม DAKASI ถึงเป็นแบรนด์ชานมไข่มุก ที่น่าจับตามอง
DAKASI X ลงทุนแมน
รู้หรือไม่ว่า แบรนด์ชานมไข่มุกจากไต้หวัน “เจ้าแรก” ที่เข้ามาเปิดสาขาในประเทศไทย ก็คือ DAKASI (ดาคาซี่)
โดยแบรนด์ DAKASI ได้เข้ามาเปิดสาขาแรกที่สยามสแควร์ ในปี 2552 หรือเมื่อ 12 ปีที่แล้ว
ซึ่งก็ถือได้ว่าเป็นระยะเวลาที่ค่อนข้างยาวนานเลยทีเดียว
แล้ว DAKASI มีกลยุทธ์อะไร ถึงสามารถครองใจลูกค้ามาได้ตั้งแต่ก่อนหน้าที่จะเกิดเทรนด์ชานมไข่มุก จนกระแสชานมไข่มุกมาแรงก็ยังคงเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ลูกค้าหลายคนนึกถึง
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง..
DAKASI เป็นแบรนด์ชานมไข่มุกจากไต้หวัน
ที่เรียกได้ว่าเป็นแบรนด์รุ่นบุกเบิกในวงการชานมไข่มุกเลยก็ว่าได้
เพราะแบรนด์ DAKASI ก่อตั้งมานานถึง 31 ปี
โดยปัจจุบัน DAKASI ได้ขยายสาขาไปแล้วกว่า 1,000 แห่งทั่วเอเชีย
สำหรับในประเทศไทย DAKASI มีสาขาอยู่ทั้งหมด 40 แห่ง
และอยู่ภายใต้บริษัท มิกซ์เซี่ยน ฟู้ดส์ จำกัด
ซึ่งมีผลประกอบการย้อนหลังดังนี้
ปี 2017 รายได้ 54 ล้านบาท
ปี 2018 รายได้ 77 ล้านบาท
ปี 2019 รายได้ 177 ล้านบาท
จากตัวเลขด้านบนจะเห็นว่าในช่วงเวลา 3 ปีที่ผ่านมานี้
รายได้ของบริษัทเติบโตเฉลี่ยถึง 81% ต่อปี
โดยทาง DAKASI ได้เปิดเผยว่า ใน 1 สาขาจะมียอดขายเฉลี่ยอยู่ที่ 300 แก้วต่อวัน
หากลองคิดง่าย ๆ จากราคาชานมที่ต่ำสุดของ DAKASI ซึ่งอยู่ที่ 35 บาทต่อแก้ว
ดังนั้นในสาขาหนึ่งอาจมีรายได้อย่างน้อย ประมาณ 10,500 บาทต่อวันเลยทีเดียว
ที่น่าสนใจคือ ในปี 2019 เพียงปีเดียว รายได้ของ DAKASI เติบโตสูงถึง 132% จากปีก่อนหน้า
เนื่องจากได้แรงหนุนของกระแสชานมไข่มุกฟีเวอร์มาช่วยเสริม
แต่ทว่ากระแสที่ร้อนแรงของชานมไข่มุก ก็เป็นได้ทั้งข้อดีและข้อเสีย
เพราะเมื่อสินค้าตัวไหนได้รับความนิยมมาก ๆ ก็จะส่งผลให้มีผู้เล่นเข้ามาในตลาดเพิ่มมากขึ้น
จนทำให้ตลาดชานมไข่มุกที่เมื่อก่อนมีอยู่ไม่กี่แบรนด์
กลายเป็นตลาดที่แข่งขันกันอย่างดุเดือดในทันที
แล้ว DAKASI แบรนด์ที่อยู่มานานกว่าสิบปี มีกลยุทธ์อะไรถึงทำให้แบรนด์ประสบความสำเร็จ ?
1. มาตรฐานคือสิ่งสำคัญ
DAKASI มีการควบคุมคุณภาพเครื่องดื่ม และการบริการอย่างชัดเจน
ทำให้ไม่ว่าลูกค้าจะใช้บริการที่สาขาไหน ก็จะได้ดื่มชาที่มีรสชาติมาตรฐานเดียวกัน พร้อมกับพนักงานที่ถูกฝึกมาให้บริการอย่างเป็นมิตร
ที่สำคัญ เครื่องดื่มทุกแก้วของ DAKASI จะถูก “ชงสดใหม่แก้วต่อแก้ว”
ทำให้ลูกค้าสบายใจได้ว่าจะได้ดื่มชาที่เพิ่งชงออกมาใหม่ ๆ ไม่ใช่น้ำชาที่วางค้างไว้ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
ซึ่งการชงชาใหม่ทุกแก้วนั้น มีความสำคัญต่อคุณภาพของสินค้าอย่างมาก
เพราะถ้าหากบางร้านที่ต้มชาทิ้งไว้นานหลายชั่วโมง ก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของลูกค้าได้
เนื่องจากชาบางประเภทจะมีสารชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “Tannins” ที่ทำให้ชามีรสฝาด
และถ้าหากใบชาถูกแช่ค้างไว้นาน ๆ สาร Tannins ก็จะยิ่งละลายออกมามากขึ้นกว่าเดิม
ส่งผลให้ผู้บริโภคบางราย อาจจะมีอาการท้องผูก ท้องอืด หรือแน่นท้องได้
ในขณะเดียวกัน การสร้างมาตรฐานชงชาสดใหม่แบบนี้ ก็ยังต้องอาศัยพนักงานที่พร้อมจะรักษามาตรฐานนี้ไปด้วยกัน เพราะพนักงานผู้ชงชา คือบุคคลที่จะส่งมอบสินค้าให้ถึงมือลูกค้า
ดังนั้นบริษัทจึงให้ความสำคัญกับเรื่องการอบรมพนักงานไม่แพ้กัน
เพื่อให้มั่นใจว่ามาตรฐานที่สร้างขึ้นจะได้รับการปฏิบัติจริง
และนี่จึงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ DAKASI ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ ไม่รีบร้อนที่จะขยายสาขาอย่างรวดเร็ว เพราะ DAKASI ต้องการที่จะสร้างระบบให้แข็งแกร่งเสียก่อน..
2. ศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค
แบรนด์ DAKASI มีทีมสำหรับ วิจัยและพัฒนาเครื่องดื่มอย่างจริงจัง
ทำให้สินค้าที่วางขายแต่ละเมนู ได้ผ่านการศึกษา เพื่อให้ตรงใจผู้บริโภคมากที่สุด
โดยในปัจจุบัน ลูกค้าเริ่มหันมาใส่ใจกับสุขภาพมากขึ้น
และสินค้าประเภทชานมทั่ว ๆ ไป อาจไม่ได้ตอบโจทย์ลูกค้าบางกลุ่ม เหมือนอย่างเมื่อก่อน
ซึ่งแบรนด์ DAKASI ก็ได้พยายามคิดค้นเมนูใหม่ ๆ
อย่างเช่น ชาใสผสมน้ำผลไม้ และชาผสมวิตามิน 14 ชนิด ที่ได้มีการร่วมมือกับแบรนด์วีต้า
ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นลูกค้ากลุ่มรักสุขภาพ หรือกลุ่มสาวกชานมก็ยังมาใช้บริการที่ DAKASI ได้เหมือนเดิม
3. การจัดโปรโมชันออกมาเป็นระยะ ๆ
ที่ผ่านมาแบรนด์ DAKASI มักจะมีโปรโมชันออกมาให้เห็นอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็น 1 แถม 1 หรือการลดราคาต่าง ๆ
โดยการลดราคาสินค้าบ่อย ๆ ก็ไม่ใช่ว่าแบรนด์ขายไม่ดี
แต่เรื่องนี้กลับถือเป็นกลยุทธ์ของแบรนด์
เพราะ DAKASI ต้องการดึงดูดลูกค้าหน้าใหม่ให้เข้ามาทดลองใช้บริการที่ร้าน
และการลดราคาสินค้า ก็จะยิ่งทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าได้เร็วขึ้น
อีกทั้ง ถ้าหากลูกค้าได้ลองดื่มแล้วถูกใจ ก็อาจจะกลับมาใช้บริการที่ร้านซ้ำ ๆ จนกลายเป็นลูกค้าประจำได้
นอกเหนือจากเรื่องที่เราได้กล่าวมาทั้งหมดแล้ว
ยังมีอีกประเด็นที่ทำให้ DAKASI กำลังน่าจับตามองอย่างมาก ซึ่งก็คือ การร่วมมือกับ “บางจากรีเทล”
โดยทางบางจากรีเทล ได้รับสิทธิ์การขยายสาขาของ DAKASI ในสถานีบริการน้ำมันบางจาก
ซึ่งทั้งสองบริษัทได้ตั้งเป้าการขยายสาขาทั้งหมด 150 แห่ง ภายใน 3 ปี
และคาดการณ์ว่า การร่วมมือในครั้งนี้จะทำให้ DAKASI มียอดขายเพิ่มขึ้นอีก 360 ล้านบาทเลยทีเดียว
ซึ่งหากเป็นไปตามแผน DAKASI จะกลายมาเป็นหนึ่งในแบรนด์ชานมรายใหญ่อันดับต้น ๆ ของประเทศไทยได้ทันที..
สำหรับผู้ที่สนใจร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ DAKASI
สามารถสอบถามรายละเอียดการลงทุนแฟรนไชน์ได้ที่ Line ID : @DakasiThailand
จากนั้นพิมพ์ FC เพื่อขอรับข้อมูลเบื้องต้น
หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 06-2226-3615
พร้อมติดตามรับข้อมูลข่าวสารและโปรโมชันพิเศษได้ที่ Facebook : DakasiThailand

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

SPONSORED
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon