เชนร้านอาหารญี่ปุ่น ที่กำลังโตระเบิดในไทย โมโมพาราไดซ์ และ ชาคาริคิ 432
เชนร้านอาหารญี่ปุ่น ที่กำลังโตระเบิดในไทย โมโมพาราไดซ์ และ ชาคาริคิ 432 / โดย ลงทุนแมน
ร้านอาหารญี่ปุ่นถือเป็นหนึ่งธุรกิจที่เติบโตได้ดีในประเทศไทย
แต่หากพูดถึงเชนร้านญี่ปุ่นที่โตไวในขณะนี้
แต่หากพูดถึงเชนร้านญี่ปุ่นที่โตไวในขณะนี้
คงหนีไม่พ้นโมโมพาราไดซ์ และ ชาคาริคิ 432
แม้ว่าทั้ง 2 แบรนด์จะมีโมเดลธุรกิจที่ต่างกัน
แต่ 2 แบรนด์นี้มีจุดร่วมกัน คือ การนำเสนอตัวตนของร้านอาหารญี่ปุ่นแท้ๆ และขยายสาขาไปหลายประเทศ
แล้วทั้ง 2 ร้านนี้เติบโตดีขนาดไหน?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับ 2 แบรนด์นี้กันก่อน..
ชาคาริคิ 432 เริ่มเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยในปี 2012 หรือ 7 ปีที่ผ่านมานี้เอง
ร้านนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากคุณ Tomohiko Shimizu ที่เริ่มเปิดร้านอิซากายะชื่อ ชาคาริคิ 432 ที่เมืองโอซาก้า
คำว่าอิซากายะเป็นคำที่ใช้เรียกร้านเหล้าสไตล์ญี่ปุ่น ที่เน้นนั่งดื่ม และมีอาหารกับแกล้มกินคู่กัน
Cr. KIJI
หลังจากนั้น คุณ Shimizu มาเที่ยวเมืองไทย และพบว่า..
มีร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทยจำนวนมาก และเป็นโอกาสที่ดีที่จะนำเสนอร้านสไตล์อิซากายะ ในประเทศไทย
มีร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทยจำนวนมาก และเป็นโอกาสที่ดีที่จะนำเสนอร้านสไตล์อิซากายะ ในประเทศไทย
พอเรื่องเป็นแบบนี้ เขาจึงตัดสินใจขายกิจการร้านในโอซาก้า 4 ร้านจากทั้งหมด 6 ร้าน และมาเริ่มเปิดร้าน ชาคาริคิ 432 สาขาแรกที่อโศก และขยายกิจการเรื่อยมา จนตอนนี้มีประมาณ 20 สาขาในประเทศไทย
Cr. KIJI
ในขณะที่อีกแบรนด์หนึ่งที่เติบโตเร็วคือ โมโมพาราไดซ์ ที่เป็นร้านชาบูชาบู
โมโมพาราไดซ์ เปิดแห่งแรกในเมืองโตเกียว ปี 1993
หลังจากนั้น บริษัทเริ่มขยายธุรกิจไปต่างประเทศ และเริ่มเข้ามาในประเทศไทยในปี 2008
โมเดลทางธุรกิจของโมโมพาราไดซ์ คือ บุฟเฟต์ที่มีเนื้อวัว และเนื้อหมูเพียงไม่กี่ชนิด แต่คุณภาพดี และมีผักสดที่เติมได้ไม่อั้น
นอกจากนี้ โมโมพาราไดซ์ยังเป็นเจ้าของแบรนด์ นาเบะโซ พรีเมียม เป็นคอร์สชาบูสุกี้ระดับไฮเอนด์ ซึ่งละเอียดอ่อนถึงขนาดหม้อของซุปแต่ละแบบจะมีลักษณะต่างกัน
Cr. AnakJajan
โมโมพาราไดซ์ ประสบความสำเร็จจนสามารถขยายธุรกิจไปได้มากกว่า 8 ประเทศ
ไต้หวัน 24 สาขา
ไทย 15 สาขา
จีน 6 สาขา
รวมถึงประเทศอื่น เช่น สหรัฐอเมริกา มาเลเซีย และอื่นๆ รวมทั้งหมด 67 ร้าน
ไทย 15 สาขา
จีน 6 สาขา
รวมถึงประเทศอื่น เช่น สหรัฐอเมริกา มาเลเซีย และอื่นๆ รวมทั้งหมด 67 ร้าน
เรามาดูผลประกอบการของทั้ง 2 แบรนด์นี้ ในประเทศไทย
บริษัท ชาคาริคิ 432
ปี 2557 รายได้ 41 ล้านบาท กำไร 0.3 ล้านบาท
ปี 2559 รายได้ 219 ล้านบาท กำไร 0.5 ล้านบาท
ปี 2561 รายได้ 439 ล้านบาท กำไร 3.9 ล้านบาท
ปี 2559 รายได้ 219 ล้านบาท กำไร 0.5 ล้านบาท
ปี 2561 รายได้ 439 ล้านบาท กำไร 3.9 ล้านบาท
บริษัท โนเบิล เรสเตอท์รองต์ (โมโมพาราไดซ์)
ปี 2557 รายได้ 275 ล้านบาท กำไร 13.0 ล้านบาท
ปี 2559 รายได้ 357 ล้านบาท กำไร 9.9 ล้านบาท
ปี 2561 รายได้ 530 ล้านบาท กำไร 26.2 ล้านบาท
ปี 2559 รายได้ 357 ล้านบาท กำไร 9.9 ล้านบาท
ปี 2561 รายได้ 530 ล้านบาท กำไร 26.2 ล้านบาท
จากตัวเลขข้างต้น เราก็อาจเห็นได้ว่าทั้ง 2 ร้านอาหารญี่ปุ่นสามารถเติบโตแบบก้าวกระโดด ในขณะที่กำไรที่น้อยอยู่ อาจเป็นเพราะอยู่ในช่วงของการลงทุนเพื่อขยายสาขาเพิ่มเติม
จริงๆ แล้ว ราคาเฉลี่ยต่อหัวของ 2 ร้านนี้ไม่ได้ถูกกว่าร้านอาหารญี่ปุ่นทั่วไปในประเทศไทย แต่ทำไมยอดขายของ 2 ร้านนี้โตระเบิด เมื่อเทียบกับร้านอาหารญี่ปุ่นทั่วไป
กรณีของโมโมพาราไดซ์ ชูจุดเด่นเรื่องวัตถุดิบ ในราคาที่ยอมจ่ายแพงอีกนิดแต่ได้ของที่มีคุณภาพ
ส่วนในกรณีของ ชาคาริคิ 432 เน้นเรื่องตัวตนที่ชัดเจนของวัฒนธรรมการกินดื่มของคนญี่ปุ่น ต่อให้มีเงินมากมายแต่ถ้าไม่ใช่คนญี่ปุ่นมาบริหารร้านเอง ก็ไม่น่าจะสามารถทำร้านได้แบบชาคาริคิ 432
สุดท้ายแล้ว คงสรุปได้ว่า การเปิดร้านอาหารต้องหาจุดเด่นของเราให้เจอ
ถ้าคนเข้าใจในสิ่งที่เรานำเสนอ มันก็จะทำให้เราโตระเบิดได้เหมือน 2 ร้านนี้..
----------------------
Blockdit แอปที่เป็นเหมือน คลังความรู้ขนาดใหญ่ อ่านฟรี
โหลดเลย Blockdit.com/download
----------------------
References
-Official Website, Shakariki 432
-Official Website, Momo Paradise
-กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
----------------------
Blockdit แอปที่เป็นเหมือน คลังความรู้ขนาดใหญ่ อ่านฟรี
โหลดเลย Blockdit.com/download
----------------------
References
-Official Website, Shakariki 432
-Official Website, Momo Paradise
-กรมพัฒนาธุรกิจการค้า