
เจาะโมเดล GrabFood ที่ทำให้ครองตลาด Food Delivery
เจาะโมเดล GrabFood ที่ทำให้ครองตลาด Food Delivery / โดย ลงทุนแมน
ในปี 2024 ที่ผ่านมา Grab Holdings เจ้าของแพลตฟอร์มเรียกรถ สั่งอาหาร และบริการขนส่งที่คนไทยคุ้นเคย มีรายได้ 94,100 ล้านบาท
ในปี 2024 ที่ผ่านมา Grab Holdings เจ้าของแพลตฟอร์มเรียกรถ สั่งอาหาร และบริการขนส่งที่คนไทยคุ้นเคย มีรายได้ 94,100 ล้านบาท
ถ้าย้อนดู 3 ปีล่าสุด รายได้ Grab Holdings กำลังเติบโตต่อเนื่อง
- ปี 2021 รายได้ 23,000 ล้านบาท
- ปี 2022 รายได้ 48,500 ล้านบาท
- ปี 2023 รายได้ 79,800 ล้านบาท
- ปี 2021 รายได้ 23,000 ล้านบาท
- ปี 2022 รายได้ 48,500 ล้านบาท
- ปี 2023 รายได้ 79,800 ล้านบาท
และถ้าสังเกต Adjusted EBITDA กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ในปี 2024 อยู่ที่ 10,600 ล้านบาท นับเป็นครั้งแรกของบริษัท ที่ตัวเลขนี้เป็นบวก
โดยธุรกิจแรกของ Grab Holdings ที่ทำกำไรก็คือ ธุรกิจเรียกรถ (Mobility)
ตามมาด้วยธุรกิจขนส่ง (Deliveries) ซึ่งประกอบไปด้วยบริการส่งอาหาร (GrabFood) และบริการส่งสินค้าหรือของใช้ (GrabMart)
สะท้อนว่าธุรกิจของ Grab Holdings กำลังขยาย Scalability ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตามมาด้วยธุรกิจขนส่ง (Deliveries) ซึ่งประกอบไปด้วยบริการส่งอาหาร (GrabFood) และบริการส่งสินค้าหรือของใช้ (GrabMart)
สะท้อนว่าธุรกิจของ Grab Holdings กำลังขยาย Scalability ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับ GrabFood ที่คนไทยคุ้นเคย ก็ถือเป็นเรือธงในขา Deliveries ที่ครองส่วนแบ่งของบริการสั่งอาหารมากเป็นอันดับ 1 ในหลายประเทศ รวมถึงไทยที่ GrabFood สามารถครองส่วนแบ่งตลาดถึง 46% จากรายงานล่าสุดของ Momentum Works
แล้วปัจจัยอะไรที่ทำให้ GrabFood ประสบความสำเร็จ ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ธรรมชาติของธุรกิจแพลตฟอร์ม มักเริ่มต้นด้วยการขาดทุนอย่างหนัก
เพราะในช่วงเริ่มต้น ธุรกิจต้องมีการเผาเงิน อัดโปรโมชัน หรือออกแคมเปญต่าง ๆ เพื่อขยายฐานผู้ใช้งานให้ได้มากที่สุด
เพราะในช่วงเริ่มต้น ธุรกิจต้องมีการเผาเงิน อัดโปรโมชัน หรือออกแคมเปญต่าง ๆ เพื่อขยายฐานผู้ใช้งานให้ได้มากที่สุด
เพื่อที่ว่าเมื่อมีฐานผู้ใช้งานจำนวนมาก และแบรนด์เริ่มติดตลาดแล้ว ต่อมาจะเกิดสิ่งที่เรียกว่า Scalability หรือการที่ธุรกิจจะสามารถขยายได้ โดยที่ต้นทุนจะไม่เพิ่มเป็นเงาตามตัว
ซึ่งนั่นคือ จุดที่จะทำให้ธุรกิจแพลตฟอร์ม สามารถสร้างกำไรได้อย่างก้าวกระโดด
ซึ่งนั่นคือ จุดที่จะทำให้ธุรกิจแพลตฟอร์ม สามารถสร้างกำไรได้อย่างก้าวกระโดด
สังเกตได้จาก Facebook, Amazon หรือ Airbnb
ช่วงแรกของการทำธุรกิจ ก็มักจะประสบภาวะขาดทุนเช่นกัน ก่อนที่จะเติบโตกลายเป็นธุรกิจระดับโลกอย่างที่เห็นกัน
ช่วงแรกของการทำธุรกิจ ก็มักจะประสบภาวะขาดทุนเช่นกัน ก่อนที่จะเติบโตกลายเป็นธุรกิจระดับโลกอย่างที่เห็นกัน
ทีนี้ ลองมาดูธุรกิจแพลตฟอร์ม Deliveries อย่าง GrabFood ของ Grab Holdings ก็เพิ่งทำกำไรในปี 2024 กันบ้าง
บริการ GrabFood เป็นส่วนหนึ่งของแพลตฟอร์ม Grab ที่เป็นตัวกลางในการรับส่งอาหารจากร้านต่าง ๆ ไปสู่ผู้ซื้อ โดยที่ Grab ไม่มีหน้าร้านของตัวเอง
ต้นทุนส่วนใหญ่ของ GrabFood จึงเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนพัฒนาระบบเทคโนโลยี, ค่าตอบแทน (Incentive) และค่าใช้จ่ายส่งเสริมการขาย เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ร้านค้าและลูกค้า มาใช้บริการ
ย้อนไปในช่วงแรกที่ Grab เพิ่งเปิดตัว จำเป็นต้องทุ่มงบอัดโปรโมชันเพื่อขยายฐานลูกค้า รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ทำให้บริษัทขาดทุนอย่างหนัก
ก่อนที่ในเวลาต่อมา Grab ก็ได้ใช้ประโยชน์จากการมีฐานผู้ใช้งานจำนวนมหาศาลที่ได้มา ในการขยายธุรกิจ รวมทั้งอานิสงส์ของการล็อกดาวน์ในช่วงปี 2020-2021
โดยเริ่มจากขยายจากธุรกิจเรียกรถ ไปยังธุรกิจสั่งอาหาร และส่งเอกสาร
ตามมาด้วยธุรกิจการเงิน กลายเป็น Super App ที่มีหลายบริการในที่เดียว
ตามมาด้วยธุรกิจการเงิน กลายเป็น Super App ที่มีหลายบริการในที่เดียว
นอกจากนี้ Grab ยังมักออกแคมเปญ Cross-promotions
เพื่อจูงใจให้ลูกค้าที่ใช้บริการใดบริการหนึ่ง ไปใช้บริการอื่น ๆ พ่วงด้วย เช่น สั่งอาหารใน GrabFood แล้วจะได้รับคูปองส่วนลดสำหรับซื้อของ GrabMart
เพื่อจูงใจให้ลูกค้าที่ใช้บริการใดบริการหนึ่ง ไปใช้บริการอื่น ๆ พ่วงด้วย เช่น สั่งอาหารใน GrabFood แล้วจะได้รับคูปองส่วนลดสำหรับซื้อของ GrabMart
ซึ่งการใช้ประโยชน์จากบริการต่าง ๆ ภายในแอปฯ เดียว ก็ช่วยทำให้เกิด Economies of Scale
เพราะมีโอกาสที่รายได้จะเติบโต โดยที่ต้นทุนไม่เพิ่มจาก Fixed Cost ในการพัฒนาระบบ
เพราะมีโอกาสที่รายได้จะเติบโต โดยที่ต้นทุนไม่เพิ่มจาก Fixed Cost ในการพัฒนาระบบ
อีกหนึ่งจุดที่ทำให้ธุรกิจแพลตฟอร์มชนะคู่แข่งได้ คือ Network Effect
เมื่อ Grab ติดตลาดกลายเป็นแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานมากขึ้น GrabFood ก็ขยายตัวรองรับฐานลูกค้า, ร้านอาหารในเครือข่าย และ Rider ตามไปด้วย
แพลตฟอร์มที่มี Traffic สูง ก็จะทำให้เกิดเป็น Ecosystem ที่แข็งแกร่ง
อย่างใน GrabFood แน่นอนว่า ฝั่งลูกค้าก็มีตัวเลือกในการสั่งอาหารค่อนข้างมาก
อย่างใน GrabFood แน่นอนว่า ฝั่งลูกค้าก็มีตัวเลือกในการสั่งอาหารค่อนข้างมาก
ขณะที่ร้านอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านดังที่ติดตลาดอยู่แล้ว หรือร้านเล็ก ๆ เมื่อเห็นว่าฐานลูกค้าใน Grab มีเยอะ ก็อยากเข้ามาขายอาหารในแพลตฟอร์ม
ซึ่งก็จะกลายเป็นโอกาสในการสร้างรายได้ของกลุ่ม Rider จากปริมาณเที่ยวส่งอาหารที่มากขึ้น ก็อยากจะมาสมัครเป็น Rider ของ GrabFood
ความท้าทายต่อไปของ Grab คือ ทำอย่างไรให้ผู้ใช้งาน ไม่อยากย้ายไปใช้แพลตฟอร์มอื่น หรือภาษาธุรกิจเรียกว่า ทำให้มี Switching Cost สูงขึ้น
ตัวอย่างที่เห็นใน Grab ก็เช่น การออกแพ็กเกจสมาชิก GrabUnlimited ดึงให้ผู้ใช้งาน เข้าใช้งานเป็นประจำ
รวมถึงบริการที่หลากหลายในที่เดียว ทั้งเรียกรถ สั่งอาหาร ส่งเอกสาร ไปจนถึงบริการเพิ่มเติมอย่าง Pick Up, Dine Out หรือ Group Order
รวมถึงบริการที่หลากหลายในที่เดียว ทั้งเรียกรถ สั่งอาหาร ส่งเอกสาร ไปจนถึงบริการเพิ่มเติมอย่าง Pick Up, Dine Out หรือ Group Order
ส่วนฝั่งร้านอาหาร จะสังเกตเห็นแคมเปญส่งเสริมการขายของ GrabFood ที่มีให้เฉพาะร้านค้าที่ขายใน GrabFood เพียงที่เดียว เช่น Only at Grab, GrabThumbsUp ที่ทำให้ร้านโดดเด่น และจูงใจในการกดเข้าไปดูมากขึ้น
ขณะที่ Rider ก็มองว่าจำนวน Traffic ใน GrabFood กลายเป็นโอกาสสร้างรายได้ ทั้งรายได้เสริมอื่น ๆ เช่น GrabBike, GrabExpress
ทั้งหมดนี้ส่งผลให้ GrabFood ครองตลาด Food Delivery ได้สำเร็จ
และทำให้ทุกวันนี้ เวลาจะสั่งอาหาร คนก็มักพูดว่า “สั่ง Grab สิ” เหมือนสมัยก่อนที่คนเรียกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปว่า “มาม่า” นั่นเอง..
และทำให้ทุกวันนี้ เวลาจะสั่งอาหาร คนก็มักพูดว่า “สั่ง Grab สิ” เหมือนสมัยก่อนที่คนเรียกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปว่า “มาม่า” นั่นเอง..
References :
-ผลประกอบการบริษัท Grab Holdings ประจำปี 2021-2024
-รายงาน Food Delivery Platforms in Southeast Asia 5.0 โดย Momentum Works
-https://th.tradingview.com/symbols/NASDAQ-GRAB/financials-income-statement/?statements-period=FY
-ผลประกอบการบริษัท Grab Holdings ประจำปี 2021-2024
-รายงาน Food Delivery Platforms in Southeast Asia 5.0 โดย Momentum Works
-https://th.tradingview.com/symbols/NASDAQ-GRAB/financials-income-statement/?statements-period=FY