
จาก AOT สู่ EastWater ภาครัฐถือหุ้นใหญ่ แต่ยังเจอความเสี่ยง
จาก AOT สู่ EastWater ภาครัฐถือหุ้นใหญ่ แต่ยังเจอความเสี่ยง /โดย ลงทุนแมน
ถ้าเราคิดว่าการถือหุ้นในบริษัทที่มีภาครัฐถือหุ้นใหญ่ จะเป็นการลงทุนที่ปลอดภัย 100%
ถ้าเราคิดว่าการถือหุ้นในบริษัทที่มีภาครัฐถือหุ้นใหญ่ จะเป็นการลงทุนที่ปลอดภัย 100%
ต่อไปนี้ เราอาจจะต้องคิดใหม่..
เพราะถ้าเราเจอกับเหตุการณ์ของ AOT กับ EastWater เราจะเข้าใจว่า บริษัทในรูปแบบนี้ ก็มีความเสี่ยงใหญ่
หลายคนอาจไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า เรื่องแบบนี้ก็มีอยู่ด้วย
ความเสี่ยงของการที่ภาครัฐเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ มันเกี่ยวกับอะไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
รู้ไหมว่า นับตั้งแต่ต้นปี 2568 เพียงแค่ 1 เดือนครึ่ง บริษัทที่ภาครัฐเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 2 บริษัทนี้ มีมูลค่าที่หายไปจนน่าตกใจ
- AOT ถือหุ้นใหญ่โดย กระทรวงการคลัง
มูลค่าหายไป 27% คิดเป็นมูลค่า 232,143 ล้านบาท
มูลค่าหายไป 27% คิดเป็นมูลค่า 232,143 ล้านบาท
- EASTW ถือหุ้นใหญ่โดย การประปาส่วนภูมิภาค
มูลค่าหายไป 20% คิดเป็นมูลค่า 932 ล้านบาท
มูลค่าหายไป 20% คิดเป็นมูลค่า 932 ล้านบาท
เริ่มกันที่ AOT
ประเด็นที่นักลงทุนกังวลคือเรื่องการขาดสภาพคล่องของกลุ่ม King Power ซึ่งเป็นผู้รับสัมปทานหลักในส่วนของดิวตี้ฟรีและพื้นที่เชิงพาณิชย์ในสนามบินที่ AOT บริหารอยู่
King Power ได้ขอเลื่อนการชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำสำหรับช่วงเดือนสิงหาคม 2567 ถึงกุมภาพันธ์ 2568 ออกไปเป็นระยะเวลา 18 เดือน โดยยอมชำระค่าปรับในอัตราที่มากถึง 18% ต่อปี
ซึ่งถ้าปัญหาสภาพคล่อง King Power ยังยืดเยื้อ จนไม่สามารถชำระหนี้ได้
AOT ก็ต้องตั้งสำรองเพิ่ม และอาจทำให้รายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์ลดลงในอนาคต เพราะต้องหาคนมาประมูลใหม่ ซึ่งอาจจะได้ส่วนแบ่งตรงนี้ไม่ได้มากเท่าเดิม
AOT ก็ต้องตั้งสำรองเพิ่ม และอาจทำให้รายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์ลดลงในอนาคต เพราะต้องหาคนมาประมูลใหม่ ซึ่งอาจจะได้ส่วนแบ่งตรงนี้ไม่ได้มากเท่าเดิม
เรื่องนี้ทำให้คิดได้ว่า
การที่ภาครัฐเป็นผู้ให้สัมปทาน แล้วผู้ได้รับสัมปทานทำกิจการไม่ไหว มันก็เป็นความเสี่ยงที่จะทำให้ภาครัฐสร้างรายได้ไม่ถึงที่คาดการณ์ไว้
การที่ภาครัฐเป็นผู้ให้สัมปทาน แล้วผู้ได้รับสัมปทานทำกิจการไม่ไหว มันก็เป็นความเสี่ยงที่จะทำให้ภาครัฐสร้างรายได้ไม่ถึงที่คาดการณ์ไว้
และในระหว่างเดียวกัน
ก็มีบริษัทที่มีภาครัฐที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อีกบริษัทหนึ่งที่เจอปัญหาเช่นเดียวกัน
ก็มีบริษัทที่มีภาครัฐที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อีกบริษัทหนึ่งที่เจอปัญหาเช่นเดียวกัน
บริษัทนั้นก็คือ EastWater หรือมีชื่อย่อในตลาดหุ้นว่า EASTW
สำหรับ EastWater นั้นมีประเด็นที่บริษัท แพ้การประมูลสัมปทานระบบท่อส่งน้ำดิบที่เช่าจากกรมธนารักษ์ เมื่อปี 2564
ซึ่งแม้จะมีการยื่นฟ้องต่อการประมูลในตอนนั้น แต่ศาลปกครองก็มีคำตัดสิน ที่ไม่เป็นผลดีกับบริษัทนัก
รวมถึงประเด็นที่บริษัทมีแนวโน้มในการไม่ยื่นอุทธรณ์ หรือสรุปง่าย ๆ คือ บริษัทยอมแพ้ต่อคดีที่ฟ้องร้อง
โดยให้เหตุผลที่ไม่สู้คดีต่อว่า “เพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีกับภาครัฐ”
โดยให้เหตุผลที่ไม่สู้คดีต่อว่า “เพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีกับภาครัฐ”
ทำให้บริษัทจะต้องส่งคืนพื้นที่และสินทรัพย์โครงการท่อส่งน้ำ ที่เคยได้รับสัมปทาน ให้แก่กรมธนารักษ์ ภายในปี 2566 ซึ่งบริษัทดำเนินการล่าช้ากว่ากำหนด ก็เลยต้องเสียค่าปรับให้แก่กรมธนารักษ์ด้วย
จากทั้ง 2 กรณีนี้แสดงให้เห็นว่า มุมมองเดิม ๆ ที่บอกว่า บริษัทที่มีรัฐเป็นผู้ถือหุ้น จะมีรัฐคอยสนับสนุนธุรกิจ ทำให้มีความมั่นคงสูง
เรื่องนี้อาจไม่จริงเสมอไป.. เพราะ EastWater ได้พิสูจน์มาแล้วว่าไม่ได้งานภาครัฐ ถึงแม้ตัวเองจะมีภาครัฐเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ก็ตาม..
แล้วการจะเข้าไปลงทุนในหุ้นที่ภาครัฐถือหุ้นใหญ่อยู่ เราควรต้องระวังอะไรบ้าง นอกเหนือจาก 2 กรณีนี้ ?
1. การแทรกแซงทางการเมือง
แม้จะเป็นบริษัทในตลาดหุ้น แต่หากมีภาครัฐเป็นผู้ถือหุ้น ก็มักจะหลีกเลี่ยงการแทรกแซงยากมาก
ซึ่งที่เกิดขึ้นบ่อยคือการตั้งผู้บริหาร หรือแม้แต่พนักงาน ที่ไม่ได้เป็นมืออาชีพโดยตรง แต่เป็นคนของกลุ่มการเมือง
ทำให้บริษัทเหล่านี้ ดำเนินไปในทิศทางที่ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
นอกจากนี้ หากเกิดการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง ก็มักจะเกิดการแต่งตั้งผู้บริหารใหม่อยู่เรื่อย ๆ ซึ่งอาจทำให้ทิศทางการดำเนินงานของบริษัท ต้องเปลี่ยนตามผู้บริหารใหม่ และไม่สามารถดำเนินงานได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
ซึ่งบริษัทการบินไทยเป็นหนึ่งในบริษัทที่เคยประสบปัญหานี้ จนต้องเข้าแผนฟื้นฟูเพื่อแก้ปัญหาจนสำเร็จในเวลาต่อมา
2. มีข้อจำกัดในการบริหาร
แม้บริษัทเหล่านี้จะมีความยืดหยุ่นในการดำเนินงานมากกว่าหน่วยงานราชการ หรือหน่วยงานรัฐ
แต่ก็มักจะยังติดขัดเรื่องกฎระเบียบ จากการที่มีรัฐเป็นผู้ถือหุ้น
แต่ก็มักจะยังติดขัดเรื่องกฎระเบียบ จากการที่มีรัฐเป็นผู้ถือหุ้น
ทำให้เมื่อเทียบกับบริษัทเอกชนแล้ว บริษัทที่มีรัฐถือหุ้น มักจะมีความคล่องตัวน้อยกว่า
และหากต้องไปแข่งขันกับธุรกิจเอกชน โดยที่ไม่ได้มีตัวช่วยอะไรแล้ว ก็มักจะเสียเปรียบบริษัทเอกชน ที่มักตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว และมีขั้นตอนการทำงานที่น้อยกว่า
ทำให้บริษัทเหล่านี้ มีข้อจำกัดในการขยายธุรกิจหรือแข่งขันนั่นเอง
3. ขาดแรงจูงใจในการสร้างผลตอบแทน
ด้วยความที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตของประชาชน บริษัทเหล่านี้ จึงมักจะโดนควบคุมในเรื่องของรายได้และผลกำไร
ตัวอย่างเช่น หากบริษัททำธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน ถ้าหากช่วงที่ราคาน้ำมันพุ่งสูง รัฐบาลอาจกดดันให้บริษัทเหล่านี้ รับภาระแทนประชาชน เพื่อให้ประชาชน ไม่ได้รับผลกระทบกับราคาน้ำมันมากจนเกินไป
ทำให้บริษัทอาจขาดแรงจูงใจที่จะสร้างผลตอบแทน เพราะสุดท้ายก็มักโดนภาครัฐควบคุมอยู่ดี
4. แพ้การประมูล
แม้จะมีภาครัฐเป็นผู้ถือหุ้น แต่บริษัทที่ต้องขอสัมปทาน ก็มักจะต้องเข้าแข่งขันประมูลงาน ไม่ต่างจากบริษัทเอกเชน
ซึ่งถ้าหากบริษัทเอกชน สามารถเสนอผลตอบแทนที่ดีกว่า หรือรับเงินอุดหนุนน้อยกว่า ก็อาจทำให้บริษัทของรัฐเหล่านี้ เสียส่วนแบ่งไปได้เช่นกัน
ธุรกิจที่ต้องประมูลก็เช่น โรงไฟฟ้า โทรคมนาคม หรือแม้แต่ธุรกิจน้ำของ EastWater
รู้หรือไม่ว่า EastWater ซึ่งเป็นผู้ให้บริการน้ำประปาในพื้นที่ EEC ที่ครั้งหนึ่ง เคยถูกมองว่าเป็นสุดยอดหุ้น Defensive
แต่หลังจากแพ้การประมูลในปี 2564
บริษัทได้สูญเสียฐานลูกค้าบางส่วนไป และต้องลงทุนสร้างระบบท่อน้ำใหม่ มูลค่าเกือบ 6,000 ล้านบาท
บริษัทได้สูญเสียฐานลูกค้าบางส่วนไป และต้องลงทุนสร้างระบบท่อน้ำใหม่ มูลค่าเกือบ 6,000 ล้านบาท
บริษัทเลยประสบกับรายได้และกำไรที่ลดลง จนทำให้มูลค่าบริษัทหายไปกว่า 80% ในเวลาเพียง 3 ปี
ทั้ง 4 ข้อนี้คือเหตุผลเบื้องต้น ที่เมื่อรู้แล้ว เราต้องย้อนกลับมาถามตัวเองอีกครั้ง ด้วยประโยคด้านบนว่า “ที่จริงแล้ว บริษัทที่มีรัฐเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่นั้น มีความเสี่ยงอะไรที่ซ่อนอยู่หรือไม่ ?”
ทั้งในมุมลูกค้าที่มาขอสัมปทานจากบริษัท แต่บริษัทกลับพึ่งพิงลูกค้าแค่รายเดียว จนลูกค้านั้นมีอำนาจต่อรองมาก
หรือในมุมที่บริษัทนั้นเองต้องไปประมูลแข่งกับเอกชนโดยมีความเสี่ยงที่จะแพ้เช่นกัน
จากเรื่องนี้เราคงได้เรียนรู้ว่า
อะไรที่ดูเหมือนจะแน่นอน แล้วถ้ามันเกิดความไม่แน่นอนขึ้นมา ตลาดจะมีความผิดหวังมาก
อะไรที่ดูเหมือนจะแน่นอน แล้วถ้ามันเกิดความไม่แน่นอนขึ้นมา ตลาดจะมีความผิดหวังมาก
เมื่อตลาดผิดหวัง ตลาดก็จะไม่ฟังอะไร และพร้อมกระหน่ำเทขายหุ้นออกมา เหมือน AOT และ EastWater นั่นเอง..