เบื้องหลังโปรเจกต์ Banking Horizontal Scale อัปเกรด “หัวใจ” Core Banking และ K PLUS ให้พร้อมรองรับ 60 ล้านบัญชี

เบื้องหลังโปรเจกต์ Banking Horizontal Scale อัปเกรด “หัวใจ” Core Banking และ K PLUS ให้พร้อมรองรับ 60 ล้านบัญชี

KBTG x ลงทุนแมน
ปี 2024 K PLUS มีผู้ใช้งาน 23 ล้านราย ขณะที่ปริมาณธุรกรรมทางการเงินเติบโต 20% แตะ 11,600 พันล้านรายการ ตอกย้ำการเป็นเบอร์ 1 ในตลาด Mobile Banking ของไทย
ขณะเดียวกัน ธนาคารกสิกรไทย มีจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้นเป็น 24.3 ล้านราย หรือเติบโตกว่า 37% จากปี 2020
นอกจากฐานลูกค้าที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วแล้ว ธนาคารยังมีการเติบโตในด้านอื่น ๆ ได้แก่
- กำไรสุทธิ 48,598 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.6% จากปี 2023
- ยอดเงินฝากรวม 2,719 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากปี 2020
- ยอดสินเชื่อรวม 2,505 พันล้านบาท เติบโต 11.5% จากปี 2020
ตัวเลขเหล่านี้ สะท้อนถึงความจำเป็นในการพัฒนาระบบหลังบ้านให้แข็งแกร่ง เพื่อรองรับจำนวนผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้น และปริมาณธุรกรรมระดับ “ล้านล้านบาท” ต่อปี
นี่จึงเป็นที่มาของโปรเจกต์ “Core Banking Horizontal Scale” ของ KBTG ซึ่งมีเป้าหมายในการขยายขีดความสามารถของ Core Banking System ให้รองรับการเติบโตมากกว่า 50% ด้วยงบลงทุนประมาณ 4,500 ล้านบาท
Core Banking System คืออะไร ?
KBTG ต้องเผชิญความท้าทายอะไรในการพัฒนาระบบนี้ โดยไม่กระทบต่อการใช้งานของ K PLUS ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
คุณวรนุช เดชะไกศยะ Executive Chairman, KBTG อธิบายว่า Core Banking System เปรียบเสมือน “หัวใจ” ของธนาคาร
เพราะเป็นระบบหลักที่จัดการทุกธุรกรรมทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นการฝาก-ถอน โอนเงิน ขอสินเชื่อ เปิดบัญชี คำนวณดอกเบี้ย และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการทางการเงิน
ลองนึกภาพว่า เวลาเราใช้งาน K PLUS โอนเงินไปให้เพื่อน หรือกดเงินจากตู้ ATM
ข้อมูลธุรกรรมจะถูกส่งไปยัง Core Banking System เพื่อตรวจสอบยอดเงิน อัปเดตข้อมูลบัญชี และดำเนินการตามคำสั่งแบบเรียลไทม์
หากระบบนี้ล่มหรือทำงานช้า ผู้ใช้จะไม่สามารถทำธุรกรรมได้เลย
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ Core Banking System ต้องมีความเสถียร รวดเร็ว และรองรับปริมาณธุรกรรมมหาศาลได้ตลอดเวลา
ด้วยเหตุนี้ KBTG จึงเดินหน้าลุยโปรเจกต์ “Core Banking Horizontal Scale” ซึ่งเปรียบเสมือน การอัปเกรด “หัวใจ” ของธนาคาร ให้แข็งแกร่งขึ้น
เพื่อให้ K PLUS ทำงานได้ลื่นไหล ไม่มีสะดุด และรองรับการเติบโตของผู้ใช้และธุรกรรมไปจนถึงปี 2031
แม้ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย แต่การปรับโครงสร้างระบบขนาดใหญ่ที่ต้องทำงานแบบเรียลไทม์ ท่ามกลางผู้ใช้งานจำนวนมหาศาล ถือเป็นความท้าทายครั้งใหญ่
แต่รู้หรือไม่ว่า ? KBTG ใช้เวลากว่า 22 เดือน ในการดำเนินโปรเจกต์นี้จนสำเร็จ โดยที่ K PLUS ไม่เคยล่ม และไม่มีผลกระทบต่อประสบการณ์ใช้งานของผู้ใช้เลย
แล้ว KBTG ทำได้อย่างไร ?
คุณจรุง เกียรติสุภาพงศ์ Vice Chairman, KBTG อธิบายว่า ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า K PLUS ไม่ได้ขับเคลื่อนโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงลำพัง แต่เป็นความร่วมมือระหว่าง KBank ซึ่งดูแลด้านธุรกิจ และ KBTG ซึ่งรับผิดชอบด้านเทคโนโลยี
ดังนั้น โปรเจกต์ Core Banking Horizontal Scale จึงไม่ใช่แค่โครงการพัฒนาระบบ IT ทั่วไป แต่เป็นโปรเจกต์ขนาดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับทีมงานกว่า 1,000 คนจากทั้งสองฝ่าย
ซึ่งต้องรับมือกับความท้าทายหลายด้าน ทั้งโครงสร้างการทำงาน การสื่อสารระหว่างทีม และการจัดการระบบที่มีความซับซ้อน
เพื่อให้โปรเจกต์นี้สำเร็จ KBTG ได้กำหนด Key Focus ไว้อย่างชัดเจน พร้อมนำ กลยุทธ์ 3 C’s ได้แก่ Communication, Collaboration และ Commitment มาเป็นแนวทางหลักในการดำเนินงาน
เพราะในมุมมองของ KBTG “การบริหารโครงการให้สำเร็จ ต้องเริ่มจากการสื่อสารที่ชัดเจน ขับเคลื่อนด้วยการทำงานร่วมกัน และสำเร็จได้ด้วยความมุ่งมั่น”
แล้วกลยุทธ์ 3 C’s มีอะไรบ้าง ?
คุณภูวดล ทรงวุฒิชโลธร Assistant Managing Director, Project Management, KBTG อธิบายว่า กลยุทธ์ 3 C’s เป็นแนวทางสำคัญที่ช่วยให้โครงการดำเนินไปอย่างราบรื่น โดยองค์ประกอบแรกคือ
1. Communication ภายใต้แนวคิด “Align & Trust”
เพราะโครงการที่ใหญ่ขนาดนี้จะสำเร็จไม่ได้ หากทุกฝ่ายไม่มีเป้าหมายที่ตรงกัน
- ฝ่ายธุรกิจ ต้องสื่อสารให้ชัดว่าการขยายระบบนี้มีเป้าหมายอะไร และมีผลกระทบอย่างไรต่อการให้บริการ
- ฝ่าย IT ต้องพัฒนาโซลูชันที่ไม่เพียงรองรับการใช้งานปัจจุบัน แต่ต้องสามารถเติบโตต่อไปในอนาคต
KBTG จึงให้ความสำคัญกับ Trust & Alignment โดยจัดประชุมทั้งออนไลน์และออฟไลน์รวมกว่า 2,000 ครั้ง เพื่อให้ทุกทีมเข้าใจตรงกัน ลดความคลาดเคลื่อน และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เพราะสุดท้ายแล้ว ทุกฝ่ายต้องเดินไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อให้ระบบตอบโจทย์ทั้งประสบการณ์ผู้ใช้ (User Experience) และเสถียรภาพของ Core Banking
2. Collaboration เปลี่ยนกลยุทธ์เป็นการลงมือทำ ภายใต้แนวคิด “BU & IT @One Team One Goal”
ความท้าทายของโปรเจกต์นี้คือ “จะทำอย่างไรให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้ ขณะที่ต้องอัปเกรดระบบเบื้องหลัง”
KBTG ออกแบบ Change Management หรือกระบวนการวางแผนและบริหารการเปลี่ยนแปลงอย่างรอบคอบ เพื่อลดผลกระทบต่อผู้ใช้ให้น้อยที่สุด โดยใช้แนวทางสำคัญ ได้แก่
- Freeze Period หรือช่วงเวลาที่กำหนดให้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงระบบ เพื่อให้ทุกฝ่ายเตรียมความพร้อมและลดความเสี่ยงในการดำเนินงาน
- Proactive Problem Handling หรือการวางแผนและแก้ไขปัญหาล่วงหน้า เพื่อป้องกันผลกระทบต่อระบบและผู้ใช้งาน
- ITSM Tool หรือการปรับปรุงเครื่องมือบริหารจัดการบริการ IT (IT Service Management) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตาม วิเคราะห์ และแก้ไขปัญหา
นอกจากนี้ ทุกทีมต้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด แม้ว่าบางฝ่ายอาจไม่เคยร่วมงานกันมาก่อน
แต่ทุกคนต้องเข้าใจ ภาพรวมของโปรเจกต์ และการจัดลำดับความสำคัญของงาน (Prioritization) เพื่อให้โครงการเดินหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คุณแก้วกานต์ ปิ่นจินดา Deputy Managing Director, IT Service Availability, KBTG กล่าวว่า การสื่อสารที่ดีและการลงมือทำอย่างมีประสิทธิภาพเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความสำเร็จ
สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ ความมุ่งมั่นของทีมงาน ซึ่งต้องดำเนินงานภายใต้หลักการสำคัญ คือ
3. Commitment ภายใต้แนวคิด “ซ้อมให้เหมือนจริง ทำจริงให้เหมือนซ้อม”
การอัปเกรดระบบขนาดใหญ่ที่รองรับธุรกรรมระดับล้านล้านบาท ไม่มีพื้นที่ให้ข้อผิดพลาด ทุกขั้นตอนต้องผ่านการวางแผนและทดสอบอย่างเข้มข้นก่อนใช้งานจริง
ด้วยหลักคิด “Hope for the worst, work for the best” ทุกสถานการณ์ต้องได้รับการเตรียมพร้อม แม้ในเงื่อนไขที่เลวร้ายที่สุด เพื่อให้มั่นใจว่าระบบทำงานได้อย่างเสถียร ไร้รอยต่อ และรองรับทุกความท้าทาย เช่น
- สร้างสภาพแวดล้อมทดสอบ (Testing Environment) จำลองสถานการณ์จริง เพื่อให้มั่นใจว่าระบบทำงานได้ตามที่คาดหวัง
- ทดสอบทุกมิติ ด้วย 30,000+ Test Cases, 21 Mock Run และ 8 Production Deploy เพื่อลดโอกาสการเกิดข้อผิดพลาดและรองรับทุกความเป็นไปได้
- ใช้เวลากว่า 10 เดือน ในการตรวจสอบและแก้ไขข้อผิดพลาด มากกว่า 1,000 จุด ได้ตรงเวลา
- ทุ่มเททรัพยากรเต็มที่ มากกว่า 10,000 Man-nights เพื่อให้มั่นใจว่าระบบพร้อมใช้งาน 100%
มาถึงตรงนี้ เราคงได้เห็นเบื้องหลังความสำเร็จของ KBTG ในการอัปเกรด Core Banking System ที่เป็นเสมือน “หัวใจ” ของระบบการเงินยุคใหม่กันแล้ว
แต่คำถามสำคัญคือ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ส่งผลต่อผู้ใช้งานอย่างไร ?
คุณนพวรรณ ปฏิภาณจำรัส Managing Director, KBTG อธิบายถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการอัปเกรดระบบ โดยมีเป้าหมายหลัก 2 ประการ คือ
1. ขยายขีดความสามารถของระบบกว่า 50%
รองรับธุรกรรมที่เพิ่มขึ้น ให้บริการได้รวดเร็วขึ้น และมีเสถียรภาพยิ่งขึ้น
แม้ว่า K PLUS จะคว้ารางวัล “Mobile Banking ที่เสถียรที่สุดในประเทศไทย” ต่อเนื่องเป็นเวลา 5 ปีซ้อน แต่ KBTG ยังคงเดินหน้าพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อให้ระบบพร้อมรองรับการเติบโตของธุรกรรมในอนาคต
2. รองรับผู้ใช้มากกว่า 60 ล้านบัญชี ภายในปี 2031
เพราะ K PLUS ไม่ใช่แค่แอปพลิเคชันธนาคารอีกต่อไป แต่กำลังก้าวสู่ “แพลตฟอร์มทางการเงินครบวงจร” ที่เชื่อมต่อทุกมิติทางการเงินของผู้ใช้ ไม่ว่าจะเป็น ธุรกรรม การลงทุน สินเชื่อ หรือบริการทางการเงินอื่น ๆ
คุณกระทิง เรืองโรจน์ พูนผล ประธาน กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป หรือ KBTG ได้กล่าวปิดท้ายว่า

“วันนี้ เราไม่ได้มาเพียงเพื่อบอกว่ากำลังทำให้ Core Banking System แข็งแกร่งขึ้น แต่เพื่อบอกว่า.. เราทำสำเร็จแล้ว
หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมต้องอัปเกรด ในเมื่อระบบยังทำงานได้ดี ?

แต่ที่ KBTG ไม่รอให้วันที่ ‘ดีพอ’ กลายเป็น ‘ไม่พอ’ เพราะเราคิดไปข้างหน้าก่อนเสมอ (We always think a step forward)

ระบบธนาคารเป็นหัวใจของทุกแอปพลิเคชันทางการเงิน และวันนี้ เราได้ยกระดับระบบให้แข็งแกร่ง ทันสมัย และพร้อมรองรับนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

ความสำเร็จครั้งนี้เกิดจากความร่วมมือของ KBank และ KBTG ที่ทำงานเคียงข้างกัน วางรากฐานให้ระบบมั่นคง ปลอดภัย และพร้อมสำหรับอนาคตของโลกการเงิน นั่นเอง..”
#KBank
#KBTG
#HorizontalCoreBanking
#CoreBanking
Reference:
- สัมภาษณ์พิเศษ KBTG โดย ลงทุนแมน
Tag: KBTG

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

SPONSORED
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon