ผู้ถือหุ้นใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ เรียงคิวถูก FORCED SELL

ผู้ถือหุ้นใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ เรียงคิวถูก FORCED SELL

ผู้ถือหุ้นใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ เรียงคิวถูก FORCED SELL /โดย ลงทุนแมน
-ในปีนี้ มีเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ถูก Forced Sell หลายคน นับว่ามีเรื่องเกิดขึ้นบ่อยสูงสุดเป็นประวัติการณ์

และหากเจ้าของไม่นำเงินมาเติม สัดส่วนความเป็นเจ้าของก็จะลดลงจากที่เคยถือหุ้นเป็นจำนวนมาก อาจจะไม่เหลือสัดส่วนความเป็นเจ้าของอยู่เลย..
แล้วเรื่องนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
โดยทั่วไปแล้ว วิธีที่ได้รับความนิยมในการซื้อหุ้นแบบง่าย ๆ ก็คือ มีเงินเท่าไร ก็ซื้อหุ้นเท่านั้น
แต่รู้ไหมว่า ยังมีหลายคนเลือกที่จะกู้ยืมเงินจากโบรกเกอร์ เพื่อมาซื้อหุ้นเพิ่มจากเงินที่มีอยู่ หรือเรียกกันว่า “ใช้มาร์จินซื้อหุ้น”
การใช้มาร์จินซื้อหุ้นนั้น นักลงทุนต้องใช้เงินของตัวเองส่วนหนึ่งในการซื้อหุ้น และอีกส่วนหนึ่งเป็นเงินกู้จากโบรกเกอร์
โดยนักลงทุนต้องมีการวางหลักประกัน อาจเป็นเงินสดหรือหุ้นก็ได้ ตามสัดส่วนที่โบรกเกอร์กำหนด ซึ่งต้องมีการจ่ายดอกเบี้ยให้กับโบรกเกอร์ด้วย
เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น เราลองมาดูตัวอย่างนี้กัน
เรามีเงินลงทุน 1,000,000 บาท และต้องการลงทุนในหุ้น A ราคา 10 บาท เท่ากับว่าเราจะซื้อหุ้น A ได้ 100,000 หุ้น
หากราคาหุ้น A ปรับตัวขึ้นไปเป็น 11 บาท
แล้วเราขายหุ้น A เราจะได้เงิน 1,100,000 บาท หรือกำไร 10%
แต่กรณีที่ใช้มาร์จิน โดยสมมติว่า โบรกเกอร์กำหนดให้วางหลักประกันของหุ้น A ที่ 50%
หมายความว่า เราจะสามารถลงทุนในหุ้น A ได้ ทั้งหมด 2,000,000 บาท โดยเป็นเงินของเรา 1,000,000 บาท (ซึ่งเป็นหลักประกันกับโบรกเกอร์) และส่วนที่กู้เงินจากโบรกเกอร์ 1,000,000 บาท
ดังนั้น หุ้น A ที่ราคา 10 บาท เราจะสามารถซื้อได้ 200,000 หุ้น
ถ้าราคาหุ้น A ปรับตัวขึ้นไปเป็น 11 บาท หรือ 10%
หากเราขายหุ้น A จะได้เงิน 2,200,000 บาท นำไปคืนโบรกเกอร์ 1,000,000 บาท จะเหลือเงิน 1,200,000 บาท เท่ากับเราได้กำไร 20%
จะเห็นว่า ทั้ง 2 กรณี เมื่อหุ้น A ปรับตัวขึ้นไป 1 บาท หรือ 10% เท่ากัน แต่กรณีที่ 2 เราจะได้กำไรมากกว่าเป็นเท่าตัว แต่ต้องหมายเหตุไว้ว่า ยังไม่หักดอกเบี้ยที่กู้ยืมจากโบรกเกอร์
ในทางกลับกัน ถ้าราคาหุ้น A ปรับตัวลดลง
เราอาจเจอสถานการณ์ที่เรียกว่า “Margin Call” หรือการที่โบรกเกอร์ เรียกให้ลูกค้านำเงินสด หรือหุ้นมาวางเป็นหลักประกันเพิ่มเติม
สมมติว่า โบรกเกอร์กำหนดอัตรา Margin Call ที่ 35% สำหรับการกู้เงินซื้อหลักทรัพย์
ถ้าราคาหุ้น A ลดลงมาอยู่ที่ 7 บาท หรือลดลง 30% หมายความว่า ตอนนี้มูลค่าเงินลงทุนทั้งหมดจะเหลือ 1,400,000 บาท
แต่หลักประกันของเราที่วางไว้ จะมีมูลค่าเหลือ 400,000 บาท ซึ่งเกิดจาก
- เงินลงทุนซื้อหุ้น A จำนวน 2,000,000 บาท ตอนแรก หักด้วย มูลค่าเงินลงทุนปัจจุบันที่ 1,400,000 บาท จะเหลือเงิน 600,000 บาท
- นำเงิน 600,000 บาท ไปหักออกจาก มูลค่าหลักประกันที่เราไปวางไว้กับโบรกเกอร์ 1,000,000 บาท
ทำให้มูลค่าหลักประกันของเราจะเหลือ 400,000 บาท นั่นเอง
หากนำไปหารด้วยมูลค่าเงินลงทุนปัจจุบันที่ 1,400,000 บาท จะมีสัดส่วนที่ 28.5% ซึ่งต่ำกว่าอัตรา Margin Call ที่โบรกเกอร์กำหนด
พอเป็นแบบนี้ โบรกเกอร์จะแจ้งเราให้มาวางหลักประกันเพิ่มอีก 90,000 บาท ซึ่งอาจเป็นหุ้นหรือเงินสดก็ได้ เพื่อทำให้มูลค่าหลักประกันกลับไปอยู่ที่ 490,000 บาท หรือที่อัตรา Margin Call 35% ตามที่กำหนด
จะเห็นว่า ถ้าราคาหุ้น A ยังปรับตัวลดลงไปเรื่อย ๆ ก็ทำให้นักลงทุนจำเป็นต้องนำหลักประกันมาวางมากขึ้น
ซึ่งถ้าราคาหุ้นปรับตัวลงไปจนถึงจุดหนึ่ง โดยที่นักลงทุนไม่ได้นำหลักประกันมาวางเพิ่ม
โบรกเกอร์ก็มีสิทธิ์ที่จะบังคับขายหุ้น เพื่อนำมาชำระหนี้เงินกู้ ที่เรียกว่า “Forced Sell” หรือการขายหุ้นทุกราคานั่นเอง ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงที่ทำให้เราขาดทุนมหาศาล
อย่างในปัจจุบัน นักลงทุนจำนวนไม่น้อย แม้แต่เจ้าของ หรือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ มีการใช้บัญชีมาร์จินลงทุนกันมาก
ซึ่งเมื่อเกิด Forced Sell ก็อาจทำให้นักลงทุนคนอื่นตกใจ เทขายหุ้นตาม หลายบริษัทมีมูลค่าลดลงติดฟลอร์ บางบริษัทมูลค่าลดลงติดฟลอร์หลายวันติดต่อกัน
และในกรณีที่เจ้าของ หรือผู้ถือหุ้นใหญ่ ถูก Forced Sell จะหนักขึ้นเป็นทวีคูณ
เพราะนอกจากมูลค่าสินทรัพย์จะลดลงแล้ว
หากไม่นำเงินมาเติม สัดส่วนความเป็นเจ้าของก็จะลดลงจากที่เคยถือหุ้นเป็นจำนวนมาก อาจจะไม่เหลือสัดส่วนความเป็นเจ้าของอยู่เลย
ต้องบอกว่า การใช้มาร์จินนั้น เป็นเหมือนดาบสองคม
สำหรับนักลงทุนมือใหม่แล้ว ต้องศึกษาและหาประสบการณ์การลงทุนให้มาก ก่อนที่จะตัดสินใจไปใช้มาร์จินซื้อหุ้น..
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon