สรุปประเด็นสำคัญจากงาน Wealth Forum Thailand 2025 : The New Frontiers of Investment Opportunity

สรุปประเด็นสำคัญจากงาน Wealth Forum Thailand 2025 : The New Frontiers of Investment Opportunity

เดอะวิสดอมกสิกรไทย x ลงทุนแมน

จบไปแล้วสำหรับงานสัมมนาครั้งสำคัญของ เดอะวิสดอมกสิกรไทย
ที่เชิญชวนทุกคนมาร่วมวิเคราะห์ เจาะลึก ปรับพอร์ตการลงทุน ต่อยอดความมั่งคั่งให้แข็งแกร่งและยั่งยืนในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2024 ที่ผ่านมา

ภายในงานครั้งนี้ได้เปิดเผยข้อมูลสำคัญ ทั้งแนวโน้มและทิศทางเศรษฐกิจโลกปี 2025 รวมทั้งโอกาส ความเสี่ยง และกลยุทธ์การลงทุนปี 2025
จากมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญที่ครบทุกมิติทั้งเศรษฐกิจโลก สงครามการค้า และนโยบายสำคัญของทรัมป์ที่จะส่งแรงกระเพื่อมทั่วโลก โอกาสลงทุนอยู่ที่ไหน วิเคราะห์เจาะลึกโดยทีม K WEALTH ซึ่งเป็นศูนย์ข้อมูลด้านการเงินและการลงทุนของธนาคารกสิกรไทย และได้เชิญ J.P. Morgan Asset Management กับ Lombard Odier องค์กรชั้นนำระดับโลกซึ่งเป็นพันธมิตรของธนาคารกสิกรไทย มาร่วมวงสัมมนาด้วย
แล้วนักลงทุนไทยควรรู้อะไร เพื่อเตรียมพร้อมการลงทุนในปี 2025 ?
ลงทุนแมนจะสรุปให้ฟัง
“หลังจากพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม 2025
คาดว่าจะเห็นนโยบายเร่งด่วนใน 100 วันแรก ของดอนัลด์ ทรัมป์
เช่น นโยบายการลดเงินสนับสนุนทางทหารกับชาติพันธมิตร, นโยบายกีดกันผู้อพยพเข้าเมือง, นโยบายด้านพลังงาน รวมถึงการลดภาษี
ซึ่งโดยรวมแล้วจะสร้างแรงกดดันเงินเฟ้อให้กับเศรษฐกิจสหรัฐฯ จากต้นทุนการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น ค่าจ้างแรงงานที่สูงขึ้น
รวมถึงการขาดดุลการคลังที่สูงขึ้น ซึ่งแนวโน้มเงินเฟ้อที่สูงขึ้น จะทำให้ภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ที่คาดว่าจะดีขึ้นตามนโยบายของทรัมป์ยังมีความไม่แน่นอนอยู่” ​ดร.พิพัฒน์พงศ์ โปษยานนท์ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย ฉายภาพรวมดังกล่าว
ช่วงที่ 1 Global Economic Landscape 2025 จาก 2 ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนสำคัญ คือ
Ms. Jin Yuejue ตำแหน่ง Managing Director, Asia Head of the Investment Specialist, Multi-Asset Solution group จาก J.P. Morgan Asset Management และ Mr. Homin Lee ตำแหน่ง Senior Macro Strategist จาก Lombard Odier
- ประเด็นภาพรวมเศรษฐกิจโลก

ปี 2025 จะเป็นปีที่ทุกอย่างกลับสู่ภาวะปกติ จากที่ก่อนหน้านี้โลกของเราต้องเจอทั้งวิกฤติโรคระบาดเรื่อยมา จนสถานการณ์ภาวะดอกเบี้ยสูง เพื่อสกัดเงินเฟ้อ
ถึงตอนนี้ ถ้าสังเกตจากปัจจัยการจ้างงาน, งบประมาณลงทุนภาครัฐ และการใช้จ่ายภาคประชาชน
สะท้อนว่า เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจโลก กำลังไปได้ดีขึ้น
เปรียบเทียบง่าย ๆ เสมือนอยู่ในสภาพอากาศแบบ Sunny ที่อาจจะมีเมฆปกคลุมบ้างจากความท้าทายและความผันผวนในภูมิภาคอื่น ๆ
เช่น ยุโรปที่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง, การฟื้นตัวของญี่ปุ่นที่ตลาดไม่ได้ตอบรับ เป็นต้น

สรุปแล้วแม้ว่าภาพรวมอาจจะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ภาคการลงทุนก็ยังต้องระมัดระวังด้วย

สิ่งที่คนทั่วโลกจับตาคือ การกลับมาของดอนัลด์ ทรัมป์ ที่มาพร้อมนโยบายหลากหลาย ทั้งที่สร้างผลบวกและผลลบในเวลาเดียวกัน

ยกตัวอย่างเช่น 2T คือ Tax และ Tariff

นโยบายลดการเก็บภาษีภาคนิติบุคคลส่งผลให้ภาครัฐมีรายได้ลดลง จึงต้องวางแนวทางชดเชยด้วยการลดการสนับสนุนภาคเทคโนโลยีมาชดเชย รวมทั้งการเพิ่มภาษีนำเข้าจากต่างประเทศ

ดังนั้น ประเทศที่เป็นคู่ค้าของสหรัฐฯ และทำให้สหรัฐฯ ขาดทุนการค้า อาจต้องเจอความท้าทาย และส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลก

- ประเด็นเงินเฟ้อ

ปัจจัยหลักที่จะทำให้เกิดเงินเฟ้อ คือการขึ้นภาษีการค้าที่ส่งผลกระทบต่อประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก
แต่ก็เชื่อว่าทรัมป์จะไม่ขึ้นภาษีเข้มข้นแบบที่หาเสียงไว้ อย่างไรก็ตาม มองว่าเงินเฟ้ออาจเกิดขึ้นในระดับที่รับมือได้ ส่วน FED มีความเป็นไปได้ที่จะชะลอการลดดอกเบี้ยลง
นอกจากนี้ ยังมีนโยบายอื่น ๆ ที่ต้องจับตามองอย่างนโยบายด้าน Immigration การจัดการผู้อพยพ รวมทั้ง Deregulation และ Fiscal ที่แม้จะยังไม่ได้เห็นภาพที่ชัดเจน แต่เชื่อว่าจะส่งผลต่อเงินเฟ้อด้วย

- ประเด็นความเสี่ยงจากความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์

มองว่าสงครามปีหน้าคงไม่รุนแรงไปมากกว่านี้ แต่ก็ยังต้องติดตามทรัมป์ที่ต้องการจะยุติสงครามด้วยว่าจะลงมือทำจริงจังแค่ไหน รวมทั้งประเด็นการคว่ำบาตรอิหร่านด้วย

แต่ที่แน่ ๆ มาตรการป้องกันประเทศต่าง ๆ จะเข้มข้นมากขึ้น จากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งคนที่จะได้ประโยชน์มากที่สุดก็คือ สหรัฐฯ ที่เป็นผู้ผลิตสินค้าสงคราม

สรุปแล้วความเสี่ยงที่เกิดขึ้น มองได้ทั้งมุมที่เป็นประโยชน์ และมุมที่น่ากังวลในเวลาเดียวกัน

- คำแนะนำการลงทุนในปี 2025

การมาของทรัมป์ เท่ากับ ความผันผวนที่มากขึ้น
ดังนั้น การลงทุนในช่วงเวลานี้ จำเป็นต้องกระจายความเสี่ยง ซึ่งไม่ใช่แค่การกระจายในหลากหลายประเภทสินทรัพย์ แต่ในแต่ละสินทรัพย์ก็ควรกระจายด้วยเช่นกัน

เช่น หุ้นในตอนนี้ อาจจะมองว่า Valuation อยู่ในโซนแพง แต่จริง ๆ สิ่งนี้จะมาพร้อมกับ Fundamental พื้นฐานของธุรกิจนั้น ๆ

แนะนำว่าควรมองหาหุ้นที่มี Fundamental ขนาดกลางหรือเล็ก เชื่อว่าจะมีโอกาสที่หุ้นสหรัฐฯ จะกลับมาขึ้นแบบกระจายตัวมากขึ้น ไม่ได้ขึ้นแบบกระจุกตัวเหมือนที่ผ่านมา

ตราสารทุน แนะนำหุ้นสหรัฐฯ หุ้นญี่ปุ่น แต่ไม่แนะนำหุ้นยุโรป
ตราสารหนี้ แนะนำหุ้นกู้ภาคเอกชนที่มีคุณภาพ เช่น Investment-grade Bond, High Yield Bond
ค่าเงิน แนะนำฟรังก์สวิส เยนญี่ปุ่น สินทรัพย์ลงทุนอื่น ๆ เช่น ทองคำ, อสังหาริมทรัพย์ในสวิตเซอร์แลนด์

อย่างไรก็ตาม ควรติดตามสถานการณ์ตลอดเวลา เพื่อปรับเปลี่ยนพอร์ตลงทุน พร้อมกระจายความเสี่ยงการลงทุนอย่างเหมาะสม
ช่วงที่ 2 Investment Opportunities and Strategies 2025 จาก 3 ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนสำคัญ
- คุณวจนะ วงศ์ศุภสวัสดิ์, CFA, รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย
มองว่า การลงทุนในปีหน้า สำหรับกลุ่ม AI และเทคโนโลยียังดีอยู่ แต่อาจจะไม่ได้โตแรงเหมือนปีที่ผ่านมา แต่จะมาในลักษณะการเติบโตแบบกระจายตัว ไม่ได้กระจุกตัวเหมือนเดิม

แนะนำการลงทุนในรูปแบบ Building a Resilience Portfolio เช่น

K-FIXEDPLUS เน้นลงทุนตราสารหนี้ที่ได้ประโยชน์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง
K-GSELECT เน้นลงทุนในหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ที่แข็งแกร่งทั่วโลก
K-PROPI เน้นลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ กอง REIT ทั่วโลก

- คุณวีระพล บดีรัฐ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย
แนะนำแบ่งพอร์ตลงทุนเป็น 2 ส่วนหลัก คือ Core และ Satellite

โดย Core สัดส่วน 70%
เน้นลงทุนระยะยาวผ่านผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนมาช่วยบริหารพอร์ตลงทุน
เช่น กลุ่ม Multi Asset ผ่านกองทุน K-WealthPLUS Series, K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP, K-WPULTIMATE

ส่วน Satellite สัดส่วน 30%
เน้นจับจังหวะเข้าลงทุน สามารถบริหารการลงทุนได้ด้วยตนเอง
เช่น กลุ่ม Fixed Income ผ่านกองทุน K-GINCOME-A(A)*, K-FIXEDPLUS-A, K-FIXED-A
และ กลุ่ม Equity ผ่านกองทุน K-VIETNAM, K-GINFRA-A(D), K-HIT-A(A), K-GHEALTH, K-USA-A(A), K-GOLD-A(A)

- คุณสรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ.หลักทรัพย์กสิกรไทย
ประเมินว่าปี 2025 ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสอยู่ที่ 1,520 จุด พร้อมแนะนำการลงทุนหุ้นไทยควรคัดเลือกจากธุรกิจที่มีความสามารถในการควบคุมต้นทุนได้ดี เช่น
TASCO ที่ได้รับประโยชน์จากดีมานด์ภาครัฐ และแนวโน้มราคาน้ำมันดิบที่อ่อนตัวลง
OSP ที่ได้รับประโยชน์จากแนวโน้มต้นทุนก๊าซธรรมชาติและวัตถุดิบอื่น ๆ ลดลง
TIDLOR ที่ได้รับประโยชน์จากแนวโน้มคุณภาพสินทรัพย์ที่ถูกปรับปรุงให้ดีขึ้น
CPALL กลุ่มค้าปลีกที่เน้นขายอาหารเป็นหลัก จึงไม่ได้รับผลกระทบจากการที่สินค้าจีนจะเข้ามาแทนที่
PR9 ที่มีโอกาสเติบโตทั้งจาก Capacity และการรองรับผู้ป่วย OPD และ IPD

ถึงตรงนี้ คงเห็นแล้วว่าทุกช่วงเวลาในโลกของการลงทุน มักจะมีช่องว่างที่เป็นโอกาสในการสร้างผลตอบแทนเสมอ ขึ้นอยู่กับว่าตัวเรามีความเข้าใจมากเพียงใด

หลังจากนี้ สัมมนาดี ๆ จาก เดอะวิสดอมกสิกรไทย ครั้งต่อไปจะเป็นเรื่องใด ก็น่าติดตามไม่น้อย..

Reference
- สัมมนา Wealth Forum Thailand 2025 : The New Frontiers of Investment Opportunity

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

SPONSORED
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon