ศัตรูของ Meta ไม่ใช่ TikTok แต่คือ รัฐบาล Apple
ศัตรูของ Meta ไม่ใช่ TikTok แต่คือ รัฐบาล Apple /โดย ลงทุนแมน
เรื่องนี้ ดูจะขัดกับความเชื่อของใครหลาย ๆ คน ที่มองว่า ศัตรูตัวฉกาจของ Meta ตอนนี้คือ TikTok ที่กำลังมาแรง
เรื่องนี้ ดูจะขัดกับความเชื่อของใครหลาย ๆ คน ที่มองว่า ศัตรูตัวฉกาจของ Meta ตอนนี้คือ TikTok ที่กำลังมาแรง
แต่ตอนนี้ Meta ก็สร้าง Reels ขึ้นมาแข่งกับ TikTok เพื่อป้องกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยจากรายได้และกำไรของ Meta ในไตรมาสล่าสุด ก็ดูเหมือนว่า Meta จะไม่ได้รับผลกระทบอะไร
ตอนนี้ความท้าทายของ Meta กลับเป็น Apple ซึ่งกำลังเป็นอุปสรรคโดยตรง ที่หลายคนอาจนึกไม่ถึงว่าเป็นอย่างไร
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ล่าสุด Meta ประกาศว่า ถ้าอยากบูสต์โฆษณาบน Facebook หรือ Instagram ควรทำผ่านเว็บไซต์เท่านั้น ซึ่งหากทำผ่านช่องทางอื่น เช่น ระบบ iOS จะต้องเสียเงินเพิ่มขึ้น 30%
และเป็นการเสียเงินแค่ค่าธรรมเนียม ที่ทาง Meta ไม่ได้อะไรเลย แต่เข้ากระเป๋าของ Apple แทน..
รู้ไหมว่านอกจากอุปกรณ์มือถือและคอมพิวเตอร์แล้ว Apple มีสินทรัพย์บางอย่าง ที่ไม่ต้องทำอะไรมากนัก และได้เงินมาอย่างมหาศาลจากคนอื่นแทน
สินทรัพย์ที่ว่านั้น คือ App Store นั่นเอง..
App Store เป็นแหล่งรวมแอปพลิเคชันต่าง ๆ จากนักพัฒนาทั่วโลก ซึ่งหากเราจะใช้ ต้องกดดาวน์โหลดและติดตั้งเข้ามาในเครื่อง
ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, Twitter, Line, Messenger ก็จำเป็นต้องเข้ามาในนี้แทบทั้งหมด
แม้แอปที่พูดมาทั้งหมด เราสามารถดาวน์โหลดฟรีได้ แต่จริง ๆ แอปพวกนี้ อาจไม่ได้ฟรีสำหรับเจ้าของแอปเหล่านี้
เพราะหากลองสังเกตดี ๆ เราจะเห็นเงื่อนไขก่อนติดตั้งแอปเหล่านี้ว่า In-App Purchasing ซึ่งหมายถึง อาจมีการจ่ายเงินได้ ในระหว่างใช้งาน
และ Apple ก็จะคิดเงินตรงนี้ 30% จากการจ่ายเงินในแอปนั้น เท่ากับว่า Apple ไม่ต้องทำอะไรเลย แต่หักเงินจากแอปต่าง ๆ เพียงอย่างเดียว
พอเป็นแบบนี้ ทำให้ Meta ที่เป็นเจ้าของ Facebook และ Instagram ก็ได้รับผลกระทบไปเต็ม ๆ เพราะทำให้รายได้โฆษณา จากผู้ใช้งานระบบ iOS หายไป ไม่ว่าจะเป็นกรณี
1) Meta คงค่าบูสต์โฆษณาไว้ แต่โดน Apple หักค่าธรรมเนียม 30% ไป
2) Meta ผลักภาระไปให้ลูกค้า โดยคิดค่าบูสต์เพิ่ม 30% แต่ก็มีความเสี่ยงที่การบูสต์จะน้อยลง เพราะราคาแพงขึ้น
ถ้าถามว่าเม็ดเงินโฆษณาที่ Meta กวาดได้ในแต่ละปี เยอะขนาดไหน เราลองมาดูผลประกอบการ ในช่วงที่ผ่านมากัน
ปี 2022 รายได้ทั้งหมด 4,213,374 ล้านบาท
รายได้จากโฆษณา 4,106,169 ล้านบาท
ปี 2022 รายได้ทั้งหมด 4,213,374 ล้านบาท
รายได้จากโฆษณา 4,106,169 ล้านบาท
ปี 2023 รายได้ทั้งหมด 4,874,346 ล้านบาท
รายได้จากโฆษณา 4,767,611 ล้านบาท
รายได้จากโฆษณา 4,767,611 ล้านบาท
เห็นได้ชัดเลยว่า Meta พึ่งพารายได้จากโฆษณาเยอะมาก
ในสัดส่วนมากถึง 98% ซึ่งหากมีปัจจัยอะไรมา
กระทบตรงนี้ ก็จะทำให้รายได้หายไปมหาศาล
ในสัดส่วนมากถึง 98% ซึ่งหากมีปัจจัยอะไรมา
กระทบตรงนี้ ก็จะทำให้รายได้หายไปมหาศาล
พอเป็นแบบนี้ ทำให้ Meta ต้องออกมาบอกให้
การบูสต์โฆษณาบน Facebook และ Instagram ต้องทำผ่านเว็บไซต์ และหลีกเลี่ยงการทำผ่านแอป
การบูสต์โฆษณาบน Facebook และ Instagram ต้องทำผ่านเว็บไซต์ และหลีกเลี่ยงการทำผ่านแอป
นอกจากนั้น ศึกระหว่าง Meta กับ Apple ไม่ได้มีเพียงแค่นี้..
อย่างในช่วงที่ผ่านมา Apple เคยอัปเดตระบบปฏิบัติการของตัวเอง เพื่อให้ผู้ใช้งาน สามารถเลือกไม่อนุญาตให้แอปติดตามข้อมูลความเคลื่อนไหวได้
ข้อมูลที่ว่านี้ ไล่ตั้งแต่การเข้าชมเว็บไซต์, เราชอบสินค้าอะไร หรือชอบคอนเทนต์แบบไหน
เมื่อไม่สามารถ Track ข้อมูลเหล่านี้ได้ ทำให้ส่งผลกระทบกับ Meta ในการแสดงผลลัพธ์ให้ตรงใจผู้ใช้งานได้
แถมยังกระทบกับการทำโฆษณาบน Facebook และ Instagram ที่ไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย ทำให้ Meta ต้องเสียรายได้ตรงนี้ไปจำนวนมากเช่นกัน
และในช่วงที่ผ่านมา Apple เองก็ยังออกสินค้าใหม่อย่าง “Vision Pro” บุกตลาด AR/VR ที่ Meta เป็นเจ้าตลาดอยู่
สรุปแล้ว TikTok คู่แข่งที่ Meta พยายามแข่งมาตลอด อาจไม่ใช่คู่แข่งที่แท้จริง เพราะในศึกวิดีโอสั้น ก็ดูเหมือนว่า Reels ของ Meta จะสามารถต่อกรกับ TikTok ได้แล้ว
แต่กลับกลายเป็นว่า ศัตรูตัวฉกาจของ Meta จริง ๆ แล้ว ก็คือ Apple..
อย่างไรก็ตาม Apple ไม่ได้สร้างศัตรูแค่ Meta เท่านั้น เพราะแม้แต่ Google ก็เสียเงินมหาศาลให้กับ Apple เหมือนกัน
ซึ่งปัจจุบัน Google ต้องเสียเงินให้ Apple ราว 5 แสนล้านบาท เพื่อแลกกับการให้ Google เป็นเว็บไซต์เริ่มต้นในการค้นหาบนสินค้าของ Apple
นอกจากนี้ Google ยังเสียส่วนแบ่งโฆษณาบน Safari ที่เป็นเว็บไซต์ค้นหาของ Apple กว่าปีละ 7 แสนล้านบาท
เรื่องนี้ Apple จึงดูเหมือนกับรัฐบาล ที่คอยเก็บภาษีบริษัทเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ากระเป๋าตัวเอง
แต่ต่างกันตรงที่ Apple สามารถเก็บเงินจากบริษัทเหล่านี้ได้แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย ในขณะที่รัฐบาลหลาย ๆ ประเทศ รวมถึงประเทศไทย กลับสามารถเก็บภาษีจากบริษัทเหล่านี้ได้น้อยมาก
ดังนั้นก็คงจะสรุปได้ว่า รัฐบาล Apple เก็บภาษีจาก Meta ได้มากกว่ารัฐบาลไทย เสียอีก..