DISNEY กำลังสู้กับ NETFLIX อย่างไร

DISNEY กำลังสู้กับ NETFLIX อย่างไร

DISNEY กำลังสู้กับ NETFLIX อย่างไร / โดย ลงทุนแมน
หลายคนคงเคยดูหนังของ Disney
Disney เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์แฟรนไชส์ภาพยนตร์มากมาย
นอกจากมิกกี้เมาส์และเจ้าหญิงในนิทานแล้ว Disney ยังมี Pixar ทำอนิเมชั่น Marvel ทำซุปเปอร์ฮีโร่ และ มหากาพย์ Star Wars ที่เรารู้จักกันอย่างดี
หลายคนอาจเคยดูหนังหรือซีรีย์ของ Disney ผ่าน Netflix
Netflix เป็นผู้ให้บริการวิดีโอออนไลน์แบบสมาชิกที่ใหญ่ที่สุดในโลก
Netflix ก่อตั้งเมื่อปี 1997 โดยคุณรี้ด แฮสติ้งส์
ธุรกิจแรกของ Netflix ไม่ใช่ธุรกิจ Streaming แบบทุกวันนี้ แต่เป็นธุรกิจให้เช่าดีวิดีทางไปรษณีย์
ไอเดียเกิดจาก คุณรี้ดเคยเช่าดีวิดีจากร้านให้เช่าแล้วคืนไม่ทัน เสียค่าปรับ 40 ดอลลาร์
เขาเห็นโอกาสว่า ลูกค้ามักมีปัญหากับการเดินทางไปที่ร้านเช่า จึงเริ่มทำธุรกิจให้เช่าดีวิดีทางไปรษณีย์
ดำเนินธุรกิจมาได้ 10 ปี ธุรกิจดีวิดีก็เข้าสู่ภาวะวิกฤติ
แต่คุณรี้ดกลับเห็นโอกาสอีกครั้ง
เขาเปลี่ยน Netflix จากผู้ให้เช่าดีวีดี มาเป็นผู้ให้บริการ Content Streaming แทน
คุณรี้ดน่าจะตัดสินใจถูก เพราะหลังจากนั้นราคาหุ้นของ Netflix ขึ้นมามากกว่า 50 เท่า
ณ วันนี้บริษัท Netflix มีมูลค่าบริษัทที่ 2,630,000 ล้านบาท
มีสมาชิกมากกว่า 100 ล้านคน และให้บริการกว่า 190 ประเทศทั่วโลก
เราลองมาดูของ Disney กันบ้าง
บริษัท Walt Disney ก่อตั้งเมื่อปี 1923 หรือ 94 ปีที่ผ่านมา
ผู้ก่อตั้งชื่อคุณวอลท์ ดิสนีย์ โดยเอาชื่อของตัวเองมาตั้งเป็นชื่อบริษัท
คาแรคเตอร์ที่โด่งดังที่สุดของคุณวอลท์คือ Mickey Mouse หรือเจ้าหนูมิกกี้
ถ้าใครเคยไปเที่ยวสวนสนุกของ Disney จะได้เห็นรูปปั้นคุณวอลท์จูงมือเจ้าหนูมิกกี้อยู่
แต่เจ้าหนูมิกกี้ไม่ใช่คาแรคเตอร์ตัวแรกที่คุณวอลท์สร้างขึ้น
คาแรคเตอร์ตัวแรกของคุณวอลท์ไม่ใช่หนู แต่เป็นกระต่ายชื่อออสวอลด์
ในปี 1928 กระต่ายออสวอลด์โด่งดังมาก ธุรกิจของ Disney จึงไปได้สวย
แต่คุณวอลท์กลับถูก Universal ซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจในขณะนั้นหักหลัง
Universal แอบทำการดึงตัวนักวาดของ Disney ไปเกือบหมด
และด้วยข้อสัญญาทางธุรกิจที่ไม่ชัดเจน ทำให้ Universal ยังได้ลิขสิทธิ์ของกระต่ายออสวอลด์มาครอบครอง
คาแรคเตอร์ที่สร้างมากับมือ และทีมนักวาดถูกซื้อตัวไปเกือบหมด..
ถ้าไม่มีคาแรคเตอร์ตัวใหม่ บริษัท Disney จะต้องล้มละลาย
คุณวอลท์จึงสร้างเจ้าหนูมิกกี้ขึ้น
โชคดีที่คุณวอลท์เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจคาแรคเตอร์
คุณวอลท์รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร เจ้าหนูมิกกี้จึงจะเป็นที่ชื่นชอบ
ไม่นานหลังจากนั้นกระต่ายออสวอลด์ก็เสื่อมความนิยมลง เจ้าหนูมิกกี้ก็ขึ้นมาแทนที่
และอาณาจักร Disney ก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ นับแต่นั้น
ณ วันนี้ Disney มีมูลค่า 5,310,000 ล้านบาท
นอกจากธุรกิจภาพยนตร์แล้ว Disney ยังเป็นเจ้าของธุรกิจสื่ออย่าง ESPN และช่อง ABC ซึ่งเป็นฟรีทีวีอันดับ 3 ในอเมริกา
Disney ยังมีสวนสนุกอีก 6 แห่ง และยังเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์คาแรคเตอร์อีกนับไม่ถ้วน
ปี 2006 ซื้อ Pixar มูลค่า 240,000 ล้านบาท
ปี 2009 ซื้อ Marvel Studio มูลค่า 130,000 ล้านบาท
ปี 2012 ซื้อ Lucas Film (เจ้าของ Star Wars) มูลค่า 130,000 ล้านบาท
ล่าสุด Disney เพิ่งประกาศซื้อ 21st Century Fox คิดเป็นมูลค่า 2,134,000 ล้านบาท
มาวันนี้ เจ้าหนูมิกกี้กำลังจะกลืนกินจิ้งจอก..
Disney จะได้ลิขสิทธิ์ของ X-men, Deadpool และ Fantastic 4
นอกจากนี้ยังได้แฟรนไชส์อื่นๆ ของ Fox อีกมากมาย
อาทิเช่น Kung Fu Panda, Ice Age, The Simpsons, Die Hard, Planet of the Apes
รวมไปถึง Avatar ภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงที่สุดในโลก
แล้ว Disney กำลังแข่งกับ Netflix ยังไง?
ในปี 2017 ที่ผ่านมา Disney ออกมาประกาศยุติความร่วมมือกับ Netflix
ซีรีย์และภาพยนตร์ของ Disney จะฉายใน Netflix ถึงปี 2018 นี้เท่านั้น
หลังจากนั้น Disney จะดำเนินกลยุทธ์ DTC หรือ Direct to consumer คือการทำธุรกิจ VDO Streaming ด้วยตัวเอง
แต่ Disney กับ Fox มีอิทธิพลในธุรกิจภาพยนตร์แค่ไหน?
เราลองมาดูภาพยนตร์ 100 อันดับแรกที่ทำเงินสูงที่สุดในโลกว่า มีบริษัทไหนเป็นเจ้าของบ้าง
อันดับ 1 เป็นของ Disney มี 28 เรื่อง
อันดับ 2 เป็นของ Warner Bros มี 21 เรื่อง
อันดับ 3 เป็นของ Fox มี 10 เรื่อง
อันดับ 4 เป็นของ Universal มี 10 เรื่อง
อันดับ 5 เป็นของ Paramount มี 10 เรื่อง
อันดับ 6 เป็นของ Sony มี 10 เรื่อง
ในหนัง 100 เรื่องที่ทำเงินสูงสุด Disney กับ Fox เป็นเจ้าของ มีรวมกันทั้งหมด 38 เรื่อง
และหากนับเฉพาะหนังทำเงิน 20 อันดับแรก ของปี 2015-2017 หรือ 3 ปีหลังสุด
Disney และ Fox จะมีหนังทำเงิน รวมทั้งหมด 28 เรื่องจาก 60 เรื่อง คิดเป็น 46.7%
เกือบครึ่งจากหนังทำเงินทั้งหมด
Disney และ Fox ยังถือหุ้นใน Hulu อีกคนละ 30%
Hulu คือบริษัท VDO Streaming อันดับ 3 ของประเทศอเมริกา
หลังจากการควบรวมกับ Fox จะทำให้ Disney ถือหุ้น 60% ใน Hulu ซึ่งเป็นคู่แข่งของ Netflix ทันที
เรื่องราวของ Disney และ Netflix ให้ข้อคิดอะไรเราบ้าง?
เรื่องแรกคือ ในธุรกิจไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร
Disney เคยเป็นพันธมิตรกับ Netflix
ซีรีย์ Marvel หลายเรื่อง ถูกพัฒนาร่วมกัน และให้ฉายได้เฉพาะทาง Netflix เท่านั้น
แต่มาวันนี้ Disney กำลังจะกลายเป็นคู่แข่งของ Netflix
ตัวของคุณวอลท์เองก็เคยเป็นพันธมิตรกับบริษัท Universal
แต่กลับถูกหักหลัง ต้องเสียกระต่ายออสวอลด์ และถูกดึงตัวนักวาดไป จนทำให้ Disney เกือบล้มละลาย
ข้อคิดเรื่องที่สองคือในวิกฤติมักมีโอกาสเสมอ
ในวันที่ถูก Universal หักหลัง คุณวอลท์เลือกที่จะไม่ยอมแพ้ แต่หันมาปลุกปั้นเจ้าหนูมิกกี้
จากวิกฤติครั้งนั้น มาจนถึงวันนี้ อาณาจักรของ Disney ใหญ่กว่า Universal เสียอีก
แต่โอกาสนั้นไม่จำเป็นจะต้องเกิดจากวิกฤติหนักๆ ในชีวิตอย่างที่คุณวอลท์เจอเสมอไป
คุณรี้ด ผู้ก่อตั้ง Netflix เจ็บใจที่ถูกค่าปรับ 40 ดอลลาร์
แต่คุณรี้ดไม่ปล่อยให้ปัญหาผ่านไปเฉยๆ กลับนำมันมาใช้เป็นไอเดียทางธุรกิจ
คุณรี้ดยังเจอวิกฤติอีกครั้ง จากความซบเซาของธุรกิจดีวีดีในปี 2007
ร้านเช่าดีวีดี และบริษัทที่เกี่ยวข้อง ล้มหายตายจากกันไปเกือบหมด
10 ปีมานี้ คุณรี้ดไม่เพียงทำให้ Netflix อยู่รอด แต่ยังเติบโตกว่า 50 เท่า
มาวันนี้ Disney กับ Netflix กำลังจะเป็นคู่แข่งกัน
10 ปีข้างหน้า อนาคตของทั้ง 2 บริษัทจะเป็นอย่างไร
คงยากที่จะคาดเดา
แต่ที่รู้คือ Disney กับ Netflix จะสู้กันสนุก ไม่แพ้ เรื่องราวในภาพยนตร์..
———————-
<ad> ตอนนี้มีความสนุกแบบใหม่ในรูปแบบ Virtual Reality
VR1 (ทองหล่อ): VR café ที่แรกในประเทศไทย
เรานำเทคนิคถ่ายทำ CG ของ Hollywood และเทคโนโลยีของ VR ถ่ายทำคลิป VDO ที่มีตัวคุณเข้าไปอยู่ใน game VR จริงๆ ให้คุณฟรี
ทุกห้องเป็นห้องส่วนตัว กว้างใหญ่ และถูกออกแบบมาสำหรับกิจกรรม VR โดยเฉพาะ
มีให้เลือกมากกว่า 150 เกม และห้อง Green Screen ที่แรก และที่เดียวในประเทศไทย
ตั้งอยู่ใจกลางทองหล่อ ที่จอดรถฟรี ใกล้ BTS ทองหล่อ
สนใจเพิ่มเติม คลิก
www.facebook.com/vr1bkk
IG, LINE: VR1BKK
โทร 080-288-2777
แผนที่: https://goo.gl/maps/qWaTtxocDun
———————-

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

SPONSORED
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon