รู้จัก 12 ETFs ไทย กองไหนน่าลงทุน
รู้จัก 12 ETFs ไทย กองไหนน่าลงทุน
SET x ลงทุนแมน
SET x ลงทุนแมน
รู้ไหมว่า นอกจากการลงทุนในหุ้นและกองทุนแล้ว
ยังมีทางเลือกการลงทุนอีกรูปแบบหนึ่ง ที่สามารถผสานข้อดีของ หุ้นและกองทุน ไว้รวมกัน
ยังมีทางเลือกการลงทุนอีกรูปแบบหนึ่ง ที่สามารถผสานข้อดีของ หุ้นและกองทุน ไว้รวมกัน
ผลิตภัณฑ์สำหรับการลงทุนที่ว่านี้ มีชื่อว่า ETF หรือก็คือ Exchange Traded Fund
ว่าแต่ ETF คืออะไร ?
มีกระบวนการทำงานอย่างไร และมีข้อดีอะไรบ้าง ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
มีกระบวนการทำงานอย่างไร และมีข้อดีอะไรบ้าง ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ETF คือ กองทุนรวมประเภทหนึ่ง ที่สามารถซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ได้เหมือนกับหุ้นตัวหนึ่ง
โดยส่วนใหญ่นั้น มักจะมีนโยบายการลงทุน ที่สร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนี หรือสินทรัพย์ที่อ้างอิง
โดยส่วนใหญ่นั้น มักจะมีนโยบายการลงทุน ที่สร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนี หรือสินทรัพย์ที่อ้างอิง
เช่น ดัชนี SET50, ดัชนี MSCI, หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมธนาคาร หรือแม้แต่ราคาของทองคำ
หลายคนคงเกิดคำถามว่า แล้ว ETF แตกต่างจากกองทุนรวมอย่างไร ?
แม้ว่าคุณสมบัติหลาย ๆ อย่างนั้น ดูเหมือนจะคล้ายกัน
ไม่ว่าจะเป็น การที่มีมืออาชีพเป็นผู้ดูแลบริหารจัดการลงทุนให้, มีนโยบายการลงทุนที่ชัดเจน และมีการกระจายความเสี่ยงตามนโยบายของตลาดหลักทรัพย์
ไม่ว่าจะเป็น การที่มีมืออาชีพเป็นผู้ดูแลบริหารจัดการลงทุนให้, มีนโยบายการลงทุนที่ชัดเจน และมีการกระจายความเสี่ยงตามนโยบายของตลาดหลักทรัพย์
แต่ความแตกต่างระหว่าง ETF กับกองทุนรวมทั่วไป
นั่นก็คือ การลงทุนใน ETF นั้นมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่ามาก และสามารถซื้อขายได้แบบเรียลไทม์ ในตลาดหลักทรัพย์ เหมือนกับหุ้นตัวหนึ่ง โดยไม่จำเป็นต้องรอลุ้นราคาปิดสิ้นวันเหมือนกับการซื้อขายกองทุน
นั่นก็คือ การลงทุนใน ETF นั้นมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่ามาก และสามารถซื้อขายได้แบบเรียลไทม์ ในตลาดหลักทรัพย์ เหมือนกับหุ้นตัวหนึ่ง โดยไม่จำเป็นต้องรอลุ้นราคาปิดสิ้นวันเหมือนกับการซื้อขายกองทุน
ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้เอง ที่ทำให้ ETF เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์การลงทุน ที่กำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในต่างประเทศ
และเราเองก็อาจจะลงทุนใน ETF อยู่แล้วโดยที่เราไม่รู้ตัว เพราะว่ากองทุนในไทยหลายกองที่เปิดขายนั้น ได้เลือกลงทุนผ่านผลิตภัณฑ์ ETF ในต่างประเทศเป็นจำนวนมาก
ทีนี้ เรามาดูต่อกันว่าในตลาดหลักทรัพย์ ตอนนี้มี ETF อะไรบ้าง ?
กลุ่มที่ 1 คือกลุ่มของ ETF ที่เน้นการสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับ “ดัชนีราคาหุ้นในประเทศไทย”
- TDEX ที่อ้างอิงผลตอบแทนของดัชนี SET50
หรือก็คือ บริษัทขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องในการซื้อขายสูง 50 อันดับแรกของตลาดหุ้นไทย
ใครที่อยากลงทุนระยะยาว แล้วได้ผลตอบแทนตามตลาดหุ้นไทย ETF ตัวนี้ ถือว่าเป็นตัวเลือกแรก ๆ ที่น่าสนใจ
หรือก็คือ บริษัทขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องในการซื้อขายสูง 50 อันดับแรกของตลาดหุ้นไทย
ใครที่อยากลงทุนระยะยาว แล้วได้ผลตอบแทนตามตลาดหุ้นไทย ETF ตัวนี้ ถือว่าเป็นตัวเลือกแรก ๆ ที่น่าสนใจ
- BSET100 อ้างอิงผลตอบแทนของดัชนี SET100
หรือก็คือ บริษัทขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องในการซื้อขายสูง 100 อันดับแรกของตลาดหุ้นไทย
มีลักษณะคล้ายกับ TDEX แต่มีโอกาสในการเติบโตและการกระจายการลงทุนที่มากกว่า
หรือก็คือ บริษัทขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องในการซื้อขายสูง 100 อันดับแรกของตลาดหุ้นไทย
มีลักษณะคล้ายกับ TDEX แต่มีโอกาสในการเติบโตและการกระจายการลงทุนที่มากกว่า
- BMSCITH อ้างอิงกับดัชนี MSCI
ซึ่งเป็นดัชนีที่บริษัท Morgan Stanley Capital International เป็นผู้จัด
หากใครต้องการลงทุนตามมุมมองของนักลงทุนต่างชาติ โดยไม่ต้องนั่งติดตามว่าฟันด์โฟลว์กำลังไหลเข้าหุ้นตัวไหน ETF ตัวนี้ ถือว่าน่าสนใจมากเลยทีเดียว
ซึ่งเป็นดัชนีที่บริษัท Morgan Stanley Capital International เป็นผู้จัด
หากใครต้องการลงทุนตามมุมมองของนักลงทุนต่างชาติ โดยไม่ต้องนั่งติดตามว่าฟันด์โฟลว์กำลังไหลเข้าหุ้นตัวไหน ETF ตัวนี้ ถือว่าน่าสนใจมากเลยทีเดียว
- BMSCG เป็น ETF ที่ลงทุนในกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กในตลาดหลักทรัพย์
ถ้าชอบแนวที่เน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพ ตัวนี้ถือว่าน่าสนใจไม่น้อย
ถ้าชอบแนวที่เน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพ ตัวนี้ถือว่าน่าสนใจไม่น้อย
- 1DIV อ้างอิงผลตอบแทนของดัชนี SET High Dividend 30 Total Return หรือ SETHD
ซึ่งเป็นกลุ่มหุ้นที่มีมูลค่าและสภาพคล่องสูง ทั้งยังปันผลสูงอย่างต่อเนื่อง เหมาะสำหรับสายปันผล
ซึ่งเป็นกลุ่มหุ้นที่มีมูลค่าและสภาพคล่องสูง ทั้งยังปันผลสูงอย่างต่อเนื่อง เหมาะสำหรับสายปันผล
กลุ่มที่ 2 คือกลุ่มของ ETF ที่เน้นการสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับ “ดัชนีราคาหุ้นในแต่ละอุตสาหกรรม”
- EBANK สำหรับผู้ที่ชื่นชอบอุตสาหกรรมธนาคารในประเทศไทย
หากไม่รู้ว่าจะเลือกซื้อหุ้นของแบงก์สีอะไร หรือสนใจกระจายพอร์ตการลงทุนไปยังอุตสาหกรรมธนาคาร เราสามารถลงทุนในทั้งอุตสาหกรรมธนาคารได้ผ่านการซื้อ ETF ตัวนี้
หากไม่รู้ว่าจะเลือกซื้อหุ้นของแบงก์สีอะไร หรือสนใจกระจายพอร์ตการลงทุนไปยังอุตสาหกรรมธนาคาร เราสามารถลงทุนในทั้งอุตสาหกรรมธนาคารได้ผ่านการซื้อ ETF ตัวนี้
- ENGY และ ENY ที่อ้างอิงผลตอบแทนของหุ้นอุตสาหกรรมพลังงานในประเทศไทย
เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบหุ้นกลุ่มพลังงานและโครงสร้างพื้นฐาน หรือการปรับน้ำหนักการลงทุนจากกลุ่มธุรกิจหนึ่งไปยังอีกกลุ่มธุรกิจหนึ่ง ที่เรียกว่า Sector Rotation ตามจังหวะของตลาด
เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบหุ้นกลุ่มพลังงานและโครงสร้างพื้นฐาน หรือการปรับน้ำหนักการลงทุนจากกลุ่มธุรกิจหนึ่งไปยังอีกกลุ่มธุรกิจหนึ่ง ที่เรียกว่า Sector Rotation ตามจังหวะของตลาด
กลุ่มที่ 3 คือกลุ่มของ ETF ที่เน้นการสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับ “ดัชนีหุ้นในต่างประเทศ”
- CHINA อ้างอิงกับดัชนีหุ้น CSI300 ซึ่งเป็นดัชนีราคาหุ้นในประเทศจีน
เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในหุ้นจีน แต่ไม่สะดวกในการศึกษาหาหุ้นรายตัว และเปิดพอร์ตการลงทุนหุ้นต่างประเทศ
เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในหุ้นจีน แต่ไม่สะดวกในการศึกษาหาหุ้นรายตัว และเปิดพอร์ตการลงทุนหุ้นต่างประเทศ
- UHERO เน้นการลงทุนในอุตสาหกรรม Games และ Esports ที่มีแนวโน้มเติบโตตามกระแสของโลกในปัจจุบัน
กลุ่มที่ 4 คือกลุ่มของ ETF ที่อ้างอิงกับ “สินค้าโภคภัณฑ์”
- GLD ลงทุนในกองทุน SPDR Gold Trust ที่สร้างผลตอบแทนอ้างอิงราคาทองคำแท่ง 99.5% ในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจในการลงทุนทองคำ
กลุ่มที่ 5 คือกลุ่มของ ETF ที่อ้างอิงกับ “ตราสารหนี้”
- ABFTH ลงทุนในตราสารหนี้ที่รัฐบาลไทยเป็นผู้ค้ำประกัน และตราสารหนี้เอกชน หรือสถาบันการเงิน เหมาะสำหรับคนที่อยากลงทุนในระยะยาว รับผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอ โดยที่มีความเสี่ยงต่ำ
ทั้งหมดนี้ คือภาพคร่าว ๆ ของ ETF ที่น่าสนใจในตลาดหลักทรัพย์ไทย
แล้วถ้าถามว่า วิธีการเลือกลงทุนใน ETF นั้นเป็นอย่างไร
อธิบายด้วย 4 เทคนิคง่าย ๆ ในการเลือกลงทุน ดังนี้
แล้วถ้าถามว่า วิธีการเลือกลงทุนใน ETF นั้นเป็นอย่างไร
อธิบายด้วย 4 เทคนิคง่าย ๆ ในการเลือกลงทุน ดังนี้
1. ให้เลือกสินทรัพย์ที่ตรงกับเป้าหมายการลงทุน และระดับความเสี่ยงที่สามารถรับได้
2. สินทรัพย์ที่เลือกนั้น สามารถให้ผลตอบแทนได้ใกล้เคียงกับดัชนี หรือสินค้าอ้างอิงมากที่สุด
3. ค่าธรรมเนียมมีความเหมาะสม ไม่สูงจนเกินไป เพื่อช่วยเพิ่มผลตอบแทนให้สูงขึ้น
4. มีสภาพคล่องสูง จะซื้อก็ง่าย จะขายก็คล่อง
สำหรับใครที่กังวลในเรื่องของสภาพคล่องในการซื้อขายแล้ว อยากจะบอกว่าไม่จำเป็นต้องกังวลในเรื่องนี้
เพราะว่า ETF แต่ละตัวนั้น จะมีผู้ดูแลสภาพคล่อง หรือ Market Maker
ที่จะช่วยทำให้ราคาซื้อขายใกล้เคียงกับราคาอ้างอิง และมีปริมาณหน่วยลงทุน ทั้งฝั่งซื้อและฝั่งขายเพียงพออยู่ตลอดเวลา นั่นเอง
ที่จะช่วยทำให้ราคาซื้อขายใกล้เคียงกับราคาอ้างอิง และมีปริมาณหน่วยลงทุน ทั้งฝั่งซื้อและฝั่งขายเพียงพออยู่ตลอดเวลา นั่นเอง
คำถามต่อมาก็คือ แล้วเราจะสามารถดูราคา ETF ได้อย่างไร ?
ปัจจุบันนี้ ราคา ETF นั้น จะถูกแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ ประกอบไปด้วย
1. มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (Net Asset Value : NAV)
เป็นมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดของ ETF หักค่าใช้จ่ายและหนี้สินออก
ซึ่งจะประกาศทุกสิ้นวันทำการ สามารถใช้ค่านี้อ้างอิง เพื่อคำนวณผลตอบแทนการลงทุนใน ETF ได้
ซึ่งจะประกาศทุกสิ้นวันทำการ สามารถใช้ค่านี้อ้างอิง เพื่อคำนวณผลตอบแทนการลงทุนใน ETF ได้
2. มูลค่าทรัพย์สินสุทธิโดยประมาณ (Indicative Net Asset Value : iNAV)
เนื่องจากว่าค่า NAV ของ ETF นั้นจะถูกประกาศตอนสิ้นวันทำการ
ทาง บลจ. เจ้าของ ETF จึงคำนวณค่า iNAV แบบเรียลไทม์ เพื่อช่วยให้นักลงทุนสามารถประมาณค่า NAV ณ ขณะนั้นได้
โดยราคาของ ETF ควรจะใกล้เคียงกับราคาของ iNAV
ทาง บลจ. เจ้าของ ETF จึงคำนวณค่า iNAV แบบเรียลไทม์ เพื่อช่วยให้นักลงทุนสามารถประมาณค่า NAV ณ ขณะนั้นได้
โดยราคาของ ETF ควรจะใกล้เคียงกับราคาของ iNAV
3. ราคาซื้อขาย ETF (Price)
เป็นราคาซื้อขายแบบเรียลไทม์ที่ปรากฏอยู่หน้ากระดานซื้อขาย
และใช้เพื่อซื้อขาย ETF ในตลาดหลักทรัพย์
และใช้เพื่อซื้อขาย ETF ในตลาดหลักทรัพย์
สรุปง่าย ๆ ก็คือ ราคาของ ETF นั้นจะอ้างอิงจาก NAV ของ ETF ตัวนั้น
ซึ่งจะประกาศทุกสิ้นวันทำการ จึงต้องมี iNAV ที่เป็นการประมาณมูลค่า NAV เพื่อมาช่วยบอกมูลค่าของ ETF ตัวนั้นในระหว่างวัน นั่นเอง
ซึ่งจะประกาศทุกสิ้นวันทำการ จึงต้องมี iNAV ที่เป็นการประมาณมูลค่า NAV เพื่อมาช่วยบอกมูลค่าของ ETF ตัวนั้นในระหว่างวัน นั่นเอง
ที่น่าสนใจก็คือ นอกจากจะสามารถใช้ ETF ในการเลือกลงทุนตามเป้าหมายของเราได้แล้ว
ยังสามารถใช้ ETF เพื่อเป็นตัวช่วยเติมเต็มพอร์ตการลงทุนได้ อย่างเช่น
ยังสามารถใช้ ETF เพื่อเป็นตัวช่วยเติมเต็มพอร์ตการลงทุนได้ อย่างเช่น
การกระจายการลงทุนในต่างประเทศ, การลงทุนในทองคำ ในช่วงที่ตลาดหุ้นกำลังผันผวนหนัก
หรือการเพิ่มส่วนของตราสารหนี้เข้ามาในพอร์ตโฟลิโอระยะยาว เพื่อจัดการความเสี่ยงให้เหมาะกับตัวเอง
หรือการเพิ่มส่วนของตราสารหนี้เข้ามาในพอร์ตโฟลิโอระยะยาว เพื่อจัดการความเสี่ยงให้เหมาะกับตัวเอง
แล้วเราจะสามารถซื้อ ETF ได้อย่างไร ?
คำตอบคือ การซื้อ ETF ในปัจจุบันนั้นง่ายและสะดวกเป็นอย่างมาก เพียงแค่เรามีบัญชีหุ้นที่เปิดกับบริษัทหลักทรัพย์ หรือโบรกเกอร์
ผู้ลงทุนก็สามารถเข้าไปเลือกซื้อ ETF ได้เหมือนกับการซื้อหุ้นตัวหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ไทย
ผู้ลงทุนก็สามารถเข้าไปเลือกซื้อ ETF ได้เหมือนกับการซื้อหุ้นตัวหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ไทย
ซึ่งหนึ่งในช่องทางที่นิยมกันมากที่สุดนั้น ก็คือ “แอปพลิเคชัน Streaming”
ที่นักลงทุนสามารถเลือกซื้อและดูข้อมูลแบบเรียลไทม์ของทั้งหุ้น อนุพันธ์ และ ETF ได้จากคอมพิวเตอร์ มือถือ หรือแม้แต่แท็บเล็ต
ที่นักลงทุนสามารถเลือกซื้อและดูข้อมูลแบบเรียลไทม์ของทั้งหุ้น อนุพันธ์ และ ETF ได้จากคอมพิวเตอร์ มือถือ หรือแม้แต่แท็บเล็ต
เพียงแค่ Log in เข้าโปรแกรม Streaming แล้วไปที่เมนู “Watch” ในหน้า Realtime เลือก “.ETFs” ในแถบเมนู SET จะมีรายชื่อ ETF ขึ้นมาทั้งหมด ทำให้ไม่พลาดความเคลื่อนไหวในตลาด และสามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้ง่ายเพียงแค่คลิก ETF ที่ต้องการ แล้วกดไปที่หน้า Buy/Sell ก็ส่งคำสั่งซื้อขายได้เลย หรือถ้าสะดวกพิมพ์ค้นหาชื่อ ETF ที่ต้องการก็สามารถทำได้ สะดวกมาก
ถึงตรงนี้ เราจะเห็นได้ว่า ETF นั้นเป็นหนึ่งในทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจมาก และผสมผสานข้อดีของหุ้นกับกองทุนเข้าไว้ด้วยกัน
ซึ่งเราสามารถที่จะใช้เป็นเครื่องมือในการลงทุนตามเป้าหมาย หรือใช้ในการบริหารความเสี่ยงได้เป็นอย่างดี..
สุดท้ายนี้ สำหรับผู้ลงทุนที่อยากศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ETF สามารถเข้าไปศึกษาต่อได้ที่ https://www.setinvestnow.com/th/etf
หรือเข้าไปดูคลิป "รีวิว 12 ETFs ไทย ลงทุนกองไหนดี"
Ep1: รู้จัก 12 ETFs ไทย สรุปให้ม้วนเดียวจบ !! คลิก https://setga.page.link/pD8wzobEDYXvrtrP9
Ep2: สอนเลือก ETF ใส่พอร์ต คลิก https://setga.page.link/K5h9TwBqvH1QGKob8
และหากใครที่ยังไม่มีบัญชีสำหรับลงทุน สามารถดูรายละเอียดการเปิดบัญชีซื้อขายหุ้น และ ETF ได้ที่
https://www.setinvestnow.com/th/open-account-stock-eopen
https://www.setinvestnow.com/th/open-account-stock-eopen