
Amazon งบดีกว่าตลาดคาด แต่หุ้นร่วง เพราะไตรมาสหน้า อาจโตช้าสุดในรอบ 28 ปี
Amazon งบดีกว่าตลาดคาด แต่หุ้นร่วง เพราะไตรมาสหน้า อาจโตช้าสุดในรอบ 28 ปี
Amazon บริษัท E-commerce ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ปี 2024 ซึ่งดีกว่าที่ตลาดคาด
Amazon บริษัท E-commerce ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ปี 2024 ซึ่งดีกว่าที่ตลาดคาด
-รายได้ 6,347,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10%
-อัตรากำไรจากการดำเนินงาน เพิ่มขึ้นจาก 7.8% เป็น 11.3%
-กำไรสุทธิ 676,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 89%
-อัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 10.7%
-อัตรากำไรจากการดำเนินงาน เพิ่มขึ้นจาก 7.8% เป็น 11.3%
-กำไรสุทธิ 676,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 89%
-อัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 10.7%
โดยอัตรากำไรที่เพิ่มขึ้นอย่างมากนี้ ก็เป็นผลมาจาก
- การดำเนินนโยบายลดต้นทุน โดยการปลดพนักงาน ซึ่งในปี 2022 และ 2023 Amazon ได้เลิกจ้างพนักงานในองค์กรไปมากกว่า 27,000 คน
- การดำเนินนโยบายลดต้นทุน โดยการปลดพนักงาน ซึ่งในปี 2022 และ 2023 Amazon ได้เลิกจ้างพนักงานในองค์กรไปมากกว่า 27,000 คน
โดยในปี 2024 ก็ยังคงมีการเลิกจ้างอยู่ และจะยังมีการเลิกจ้างต่อไปอีกในปีนี้..
- การเติบโตอย่างต่อเนื่องในธุรกิจธุรกิจคลาวด์ ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีอัตรากำไรสูง
ในส่วนของรายได้แต่ละธุรกิจ
- ธุรกิจ Online Stores
รายได้ 2,553,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7%
รายได้ 2,553,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7%
- ธุรกิจ Third-party seller services
รายได้ 1,605,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9%
รายได้ 1,605,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9%
- ธุรกิจ Amazon Web Services (AWS)
รายได้ 973,440 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19%
รายได้ 973,440 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19%
- ธุรกิจ Advertising
รายได้ 584,740 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18%
รายได้ 584,740 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18%
-ธุรกิจ Subscription Services (เช่น Amazon Prime)
รายได้ 388,970 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10%
รายได้ 388,970 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10%
ทีนี้เรามาดูด้านรายจ่ายกันบ้าง ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนต่างจับตามอง
โดยในไตรมาสที่ผ่านมา Amazon มีรายจ่ายในการลงทุนรวมกว่า 939,640 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมาก เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ที่อยู่ที่ 493,480 ล้านบาท
โดยรายจ่ายจำนวนมากนี้ ก็มาจากการทุ่มเงินไปกับการพัฒนาศูนย์ข้อมูลและอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น ชิปของ Nvidia ที่ใช้ในการขับเคลื่อน AI เพื่อต่อสู้กับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็น ChatGPT ของ OpenAI, Gemini ของ Google และ Copilot ของ Microsoft
และสำหรับในปีนี้ รายจ่ายในการลงทุนของ Amazon ก็คาดว่าจะเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะ Brian Olsavsky CFO ของ Amazon ได้กล่าวว่า
“บริษัทคาดว่า จะเพิ่มรายจ่ายด้านการลงทุนเป็น 100,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2025 จากรายจ่ายประมาณ 83,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2024
โดยเป็นรายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับ AWS รวมถึงการสนับสนุนความต้องการบริการ AI และโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี เพื่อรองรับกลุ่มอเมริกาเหนือและกลุ่มต่างประเทศ”
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ผลประกอบการจะออกมาดี แต่ราคาหุ้นของ Amazon ก็ลดลงกว่า 4% ในช่วงซื้อขายหลังปิดตลาด ซึ่งก็เป็นผลมาจาก 2 ปัจจัยหลัก ๆ ได้แก่
1. การคาดการณ์ของบริษัท ที่คาดว่ารายได้จะเติบโตเพียง 5% ถึง 9% ในไตรมาส 1 ปี 2025
ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราห์ได้คาดไว้ และจะถือเป็นการเติบโตที่ช้าที่สุดเท่าที่มีการบันทึกไว้นับตั้งแต่ Amazon เข้าตลาดหุ้นในปี 1997..
โดย Amazon กล่าวว่ารายได้ที่เติบโตช้านี้ เป็นผลจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน หรือก็คือการที่ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้นนั่นเอง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ถึง 70,980 ล้านบาท
2. การเผชิญปัญหาขาดแคลนกำลังการผลิต โดย Andy Jassy ซึ่งเป็นซีอีโอของ Amazon กล่าวว่า
“ชิปจาก third-party partners มาช้าลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ โดยมีการเปลี่ยนแปลงระหว่างทางที่ต้องใช้เวลาเพื่อให้ฮาร์ดแวร์ให้ผลตามที่คาดหวัง”
“ชิปจาก third-party partners มาช้าลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ โดยมีการเปลี่ยนแปลงระหว่างทางที่ต้องใช้เวลาเพื่อให้ฮาร์ดแวร์ให้ผลตามที่คาดหวัง”
“AWS อาจเติบโตได้เร็วขึ้นหากไม่ขาดแคลนเมนบอร์ด พลังงาน และโปรเซสเซอร์”
จะเห็นได้ว่า ปัญหาที่ Amazon เจอนี้ ก็คล้ายกับที่ Microsoft และ Google ได้เจอ นั่นก็คือการมีกำลังการผลิตที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการด้าน AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนทำให้รายได้จากธุรกิจคลาวด์โตต่ำกว่าที่คาดไว้
และสรุปได้ว่า ถึงแม้ในไตรมาสที่ผ่านมา ผลประกอบการของ Amazon จะออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่เนื่องจาก Guidance ของบริษัทที่ไม่ได้ดีมากนัก
ซึ่งนักลงทุนก็มักให้น้ำหนักกับการมองไปที่อนาคต มากกว่าผลประกอบการที่ผ่านมาแล้ว
และปัญหาการขาดแคลนกำลังการผลิต ที่ฉุดรั้งไม่ให้ธุรกิจคลาวด์ เติบโตได้เต็มที่ ก็ได้ทำให้ราคาหุ้น Amazon ปรับตัวลดลง 4% นั่นเอง