DeepSeek จากจีน ตัวพลิกเกม AI สู้อเมริกา
DeepSeek จากจีน ตัวพลิกเกม AI สู้อเมริกา /โดย ลงทุนแมน
ข่าวใหญ่ที่สุดในวันนี้ DeepSeek โมเดล AI ของจีน ที่ทุกคนกำลังมองว่าจะกระทบอุตสาหกรรม AI ของสหรัฐอเมริกาทั้งระบบ
ข่าวใหญ่ที่สุดในวันนี้ DeepSeek โมเดล AI ของจีน ที่ทุกคนกำลังมองว่าจะกระทบอุตสาหกรรม AI ของสหรัฐอเมริกาทั้งระบบ
การผลิตทุกอย่างในโลกนี้ ดูเหมือนว่าสหรัฐอเมริกาจะยอมให้กับจีนไปแล้ว
ยกเว้นเรื่อง AI
สหรัฐอเมริกาทำทุกวิถีทางในการรักษาความได้เปรียบในการเป็นผู้นำ ไม่ว่าจะเป็นการกีดกันไม่ให้จีนเข้าถึงเทคโนโลยีการผลิตชิปคุณภาพสูงของ ASML หรือการแบนส่งออกชิปรุ่นใหม่ของ Nvidia
แต่มาวันนี้ DeepSeek กำลังบอกว่า บางที ชิปคุณภาพสูง ราคาแพง ก็ไม่จำเป็นสำหรับการได้โมเดล AI ที่มีประสิทธิภาพ
DeepSeek กำลังทำเหมือนที่อุตสาหกรรมรถ EV ของจีน ทำกับรถ EV ของสหรัฐอเมริกา
จริง ๆ แล้วมันรวมไปถึงอุตสาหกรรมอื่นทั่วโลก
นั่นก็คือ ทำของที่มีคุณภาพใกล้เคียง แต่ราคาถูกกว่า จนคนซื้ออดใจไม่ได้..
และทำไมเรื่องนี้จะเป็นเรื่องใหญ่ที่เปลี่ยนภาพอุตสาหกรรม AI ไปทั้งหมด ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
OpenAI ก่อตั้งเมื่อ 10 ปีที่แล้ว มีพนักงาน 4,500 คน ใช้เงินลงทุนต่อปี 168,500 ล้านบาท
DeepSeek ก่อตั้งเมื่อ 2 ปีที่แล้ว มีพนักงาน 200 คน ใช้เงินในการพัฒนาเพียง 190 ล้านบาท
ก่อตั้งไม่นาน
ใช้พนักงานน้อยกว่า 20 เท่า
และใช้งบประมาณน้อยกว่าเป็นหลายร้อยเท่า
ใช้พนักงานน้อยกว่า 20 เท่า
และใช้งบประมาณน้อยกว่าเป็นหลายร้อยเท่า
มาวันนี้ DeepSeek กำลังท้าชนกับ ChatGPT ของ OpenAI โดยตรง โดยที่ต้นทุนถูกกว่ามหาศาล
DeepSeek เป็นใคร ?
DeepSeek เป็นใคร ?
DeepSeek เป็นโมเดล AI ที่ก่อตั้งขึ้นในเดือนพฤษภาคม ปี 2023 หรือเมื่อ 2 ปีก่อนเท่านั้น.. โดยคุณ Liang Wenfeng
ในขณะที่ OpenAI ก่อตั้งมาได้เกือบ 10 ปี
ซึ่งคุณ Liang Wenfeng เป็นคนก่อตั้งบริษัทจัดการกองทุน High-Flyer ที่ใช้ AI เข้ามาช่วยในการซื้อขายหุ้น
ด้วยความเชี่ยวชาญด้าน AI ของบริษัท ผสมกับความหลงใหลด้าน AI ของคุณ Liang Wenfeng จึงกลายเป็นที่มาของการก่อตั้ง DeepSeek
ซึ่งเงินทุนส่วนใหญ่ในการพัฒนาโมเดล AI ก็มาจากบริษัท High-Flyer นั่นเอง
แต่ก็ต้องบอกว่า โครงการ DeepSeek อาจถูกพัฒนามาก่อนหน้านี้แล้ว เพราะในปี 2021 คุณ Liang Wenfeng ทุ่มซื้อชิปจาก Nvidia หลายพันตัว เพื่อซุ่มทำโปรเจกต์ AI
จนในปี 2023 ก็ได้เอาโครงการ AI ออกมาก่อตั้งเป็นบริษัท DeepSeek ด้วยการสร้างโมเดล AI ที่ไม่จำเป็นต้องลงทุนสูงมาก
DeepSeek แจ้งว่าใช้เงินลงทุนเพื่อพัฒนาโมเดลแค่ 5.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยราว 190 ล้านบาท
ในขณะที่ OpenAI ผู้พัฒนา ChatGPT ใช้เงินลงทุนต่อปี เพื่อพัฒนาโมเดล AI ไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคิดเป็นเงินไทยราว 168,500 ล้านบาท
นี่ยังไม่รวมบริษัทอเมริกันรายอื่น เช่น Alphabet, Microsoft ที่ใช้เงินลงทุนด้าน AI ของตัวเอง ไม่ต่ำกว่าหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี หรือราว 338,000 ล้านบาท
และโครงการ AI ล่าสุดอย่าง Stargate ของสหรัฐอเมริกาที่จะมีหลาย ๆ บริษัทร่วมลงทุนกันกว่า 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทยสูงถึง 17 ล้านล้านบาท
เรียกได้ว่า DeepSeek ใช้เงินลงทุนเพื่อพัฒนาโมเดล AI หลักร้อยล้านบาท เพื่อสร้าง AI ที่มีความสามารถน่าทึ่ง
แต่บริษัทอเมริกันใช้เงินหลักแสนล้าน หลักล้านล้านบาท
แต่บริษัทอเมริกันใช้เงินหลักแสนล้าน หลักล้านล้านบาท
คำถามต่อมาคือ แล้วทำไม DeepSeek ถึงมีต้นทุนที่ถูกมากขนาดนั้น ?
คำตอบคือ แทนที่ DeepSeek จะเดินตามรอยการพัฒนาโมเดล AI แบบเดิม แต่กลับทำในสิ่งที่แตกต่างออกไป
DeepSeek ใช้วิธีที่เรียกว่า MoE หรือ Mixture of Experts เข้ามาทำให้ต้นทุนถูกลง
สมมติว่า มีคำถามหนึ่งถูกถามเข้ามา DeepSeek
จะดูก่อนว่าคำถามนี้เหมาะกับการให้ผู้เชี่ยวชาญคนไหนเป็นคนตอบ เพื่อให้ได้คำตอบที่ดีที่สุด
จะดูก่อนว่าคำถามนี้เหมาะกับการให้ผู้เชี่ยวชาญคนไหนเป็นคนตอบ เพื่อให้ได้คำตอบที่ดีที่สุด
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราถามเรื่องการเงิน โมเดลก็จะเปิดโหมดผู้เชี่ยวชาญการเงิน และเลือกปิดโหมดผู้เชี่ยวชาญในด้านอื่นแทน
วิธีนี้ทำให้ DeepSeek ลดต้นทุนได้มหาศาล เพราะเลือกเปิดโมเดลที่เกี่ยวข้องกับคำถามนั้นแค่อย่างเดียว
ที่น่าสนใจคือ เวอร์ชันล่าสุดของ DeepSeek ใช้ชิปประมวลผลกราฟิกจาก AMD ไม่ได้ใช้ชิปจาก Nvidia
ที่เป็นบริษัทเจ้าตลาดชิปนี้ในปัจจุบัน
ที่เป็นบริษัทเจ้าตลาดชิปนี้ในปัจจุบัน
ทำให้เรื่องนี้ ก็อาจกลายเป็นคำถามที่ตามมาว่า จริง ๆ แล้วชิปประมวลผลจากเจ้าอื่นนอกจาก Nvidia ก็สามารถพัฒนาโมเดล AI ได้ไม่ต่างกันหรือไม่
ซึ่งความสามารถใน AI ของ DeepSeek ตอนนี้
คือ แก้โจทย์คณิตศาสตร์ง่าย ๆ ไปจนถึงแคลคูลัส
สะท้อนให้เห็นความสามารถในการคิดเรื่องตรรกะได้ดี
คือ แก้โจทย์คณิตศาสตร์ง่าย ๆ ไปจนถึงแคลคูลัส
สะท้อนให้เห็นความสามารถในการคิดเรื่องตรรกะได้ดี
นอกจากการใช้เงินพัฒนาโมเดลที่น้อยลงแล้ว
DeepSeek ยังตบหน้าสหรัฐอเมริกาต่อ ด้วยการเปิดโมเดล ให้ทุกคนเข้าถึงได้ในราคาถูก
DeepSeek ยังตบหน้าสหรัฐอเมริกาต่อ ด้วยการเปิดโมเดล ให้ทุกคนเข้าถึงได้ในราคาถูก
ไม่ใช่ถูกแบบที่ต่างกันไม่กี่เปอร์เซ็นต์ แต่ถูกกว่ากันหลักร้อยเท่า..
และแทนที่จะพัฒนาจากคนในองค์กรแค่อย่างเดียว DeepSeek กลับเลือกเปิดโมเดลเป็น Open Source
ให้นักพัฒนาต่าง ๆ มาออกแบบต่อยอดเองได้
ให้นักพัฒนาต่าง ๆ มาออกแบบต่อยอดเองได้
จึงช่วยให้ DeepSeek ลดต้นทุนมหาศาลได้อีก เพราะสามารถให้นักพัฒนาต่อยอดโมเดล AI โดยที่ตัวเองไม่จำเป็นต้องลงทุนพัฒนาทั้งหมดเอง เหมือนบริษัทอเมริกันเจ้าอื่น
พอต้นทุนถูกก็ทำให้คิดราคาขายได้ต่ำลง
รายได้หลักของ AI ส่วนหนึ่งนั้นก็มาจากการขายชุดโปรแกรม API สำหรับนักพัฒนาที่อยากมาเชื่อมต่อ
DeepSeek สามารถตั้งราคาขายชุดโปรแกรม API ต่ำกว่า OpenAI ที่เป็นคู่แข่งโดยตรงหลายเท่าตัว
โดยราคาเริ่มต้นของ DeepSeek อยู่ที่ 1-2 ดอลลาร์สหรัฐ
หรือราว 67 บาทเท่านั้น แต่ OpenAI มีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 15-60 ดอลลาร์สหรัฐหรือกว่า 2,000 บาท
หรือราว 67 บาทเท่านั้น แต่ OpenAI มีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 15-60 ดอลลาร์สหรัฐหรือกว่า 2,000 บาท
นี่เป็นราคาเริ่มต้นเท่านั้น เพราะยิ่งโมเดลซับซ้อนมากขึ้น
ต้นทุนชุดโปรแกรมตรงนี้ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก
ต้นทุนชุดโปรแกรมตรงนี้ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก
ดังนั้น DeepSeek เลยเหมาะกับบริษัทขนาดเล็กมากกว่า
เพราะสามารถใช้เงินลงทุนไม่สูงมากนัก ก็เข้าถึง AI ล้ำ ๆ ได้
เพราะสามารถใช้เงินลงทุนไม่สูงมากนัก ก็เข้าถึง AI ล้ำ ๆ ได้
แต่ในอีกมุมก็น่าคิดเหมือนกันว่า
ที่ผ่านมา บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น Microsoft, Google, Amazon, Meta ต่างกระหน่ำลงทุน ด้วยการซื้อ GPU ของ Nvidia มาลงทุนพัฒนา AI
ที่ผ่านมา บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น Microsoft, Google, Amazon, Meta ต่างกระหน่ำลงทุน ด้วยการซื้อ GPU ของ Nvidia มาลงทุนพัฒนา AI
พอเห็นต้นแบบจาก DeepSeek ที่ใช้ต้นทุนต่ำกว่ามาก และทำออกมาได้ประสิทธิภาพไม่ต่างกัน
ก็เป็นไปได้เหมือนกันว่า งบการลงทุนในอนาคตของแต่ละบริษัททั้งอุตสาหกรรมนี้ อาจจะถูกหยิบขึ้นมาตัดสินใจกันใหม่..
และในระยะยาว บริษัทที่ต้องการใช้เทคโนโลยี AI อาจจะใช้เงินลงทุนใน AI ลดลงกว่าที่เคยวางแผนเอาไว้
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ก็เป็นแค่จุดเริ่มต้นของ DeepSeek เท่านั้น ในตอนนี้ DeepSeek อาจโดนตั้งคำถามเรื่อง ความโปร่งใสและความปลอดภัยของข้อมูล
รวมถึงการตอบคำถามของ AI ที่อาจโดนเซนเซอร์โดยรัฐบาลจีน
นอกจากนี้ โมเดลแบบที่ให้ทุกคนเข้าถึงได้แบบ Open Source ก็ยังต้องมีผู้ใช้งานจำนวนมาก ถึงจะได้รับการยอมรับว่าใช้งานได้จริง
ถึงตรงนี้ แม้ DeepSeek อาจดูเป็นภัยคุกคามครั้งใหญ่จากจีน ถึงสหรัฐอเมริกา ก็จริง แต่ก็อาจเป็นผู้เล่นที่กำลังแข่งขันกันคนละตลาดก็เป็นได้
เรื่องนี้จะเห็นได้ว่า..
ในขณะที่สหรัฐอเมริกาเน้นการพัฒนาโมเดล AI ที่ซับซ้อนและใช้เงินลงทุนสูง จีนกลับเลือกพัฒนาโมเดล AI ที่อาจซับซ้อนน้อยลง ใช้เงินลงทุนน้อย แต่ราคาถูกลงมหาศาล
ซึ่งเรื่องนี้ก็อาจจะอยู่ในทุกธุรกิจจีนเช่นกันว่า ทำอย่างไรให้ทุกคนเข้าถึงสินค้าคล้ายกัน ในราคาที่ถูกลง
ไล่ตั้งแต่ เครื่องใช้ไฟฟ้า สมาร์ตโฟน รถ EV แบตเตอรี่ แผงโซลาร์เซลล์ และในวันนี้ มาเป็นอุตสาหกรรมที่เรานึกไม่ถึงอย่าง AI
ในทุก ๆ ศตวรรษ ประเทศที่มีอำนาจในโลกนี้ จะถูกท้าทายจากประเทศใหม่ ๆ เสมอ
อย่างในศตวรรษก่อนหน้า ที่มีอังกฤษเป็นผู้นำ ก็ได้ถูกท้าชิงโดยสหรัฐอเมริกา และสหรัฐอเมริกาก็ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของโลกได้สำเร็จในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
ในตอนนี้
ถ้าจะหาประเทศไหนในโลก ที่จะมาท้าชิงสหรัฐอเมริกา
ถ้าจะหาประเทศไหนในโลก ที่จะมาท้าชิงสหรัฐอเมริกา
ก็คงต้องยอมรับว่า ไม่มีประเทศไหนในโลกนี้แล้ว จะมาเป็นภัยคุกคามสหรัฐอเมริกา ได้เท่ากับประเทศจีน..
References
-https://www.ft.com/content/747a7b11-dcba-4aa5-8d25-403f56216d7e
-https://www.forbes.com/sites/janakirammsv/2025/01/26/all-about-deepseekthe-chinese-ai-startup-challenging-the-us-big-tech/
-https://www.amd.com/en/developer/resources/technical-articles/amd-instinct-gpus-power-deepseek-v3-revolutionizing-ai-development-with-sglang.html
-https://www.ft.com/content/747a7b11-dcba-4aa5-8d25-403f56216d7e
-https://www.forbes.com/sites/janakirammsv/2025/01/26/all-about-deepseekthe-chinese-ai-startup-challenging-the-us-big-tech/
-https://www.amd.com/en/developer/resources/technical-articles/amd-instinct-gpus-power-deepseek-v3-revolutionizing-ai-development-with-sglang.html