สยามพิวรรธน์ x WWD จัดงาน Global Fashion Spotlight  ส่องสปอตไลต์แฟชั่นไทยสู่เวทีโลก

สยามพิวรรธน์ x WWD จัดงาน Global Fashion Spotlight ส่องสปอตไลต์แฟชั่นไทยสู่เวทีโลก

สยามพิวรรธน์ x ลงทุนแมน
หนึ่งในผู้นำวงการศูนย์การค้าลักชัวรีเมืองไทยก็คือ “สยามพิวรรธน์”
เจ้าของและผู้บริหารโครงการ สยามพารากอน, ไอคอนสยาม และสยามเซ็นเตอร์
และยังเป็นผู้ผลักดันวงการแฟชั่นไทยให้ก้าวไกลสู่ระดับสากล ด้วยการจัดงานแฟชั่นระดับโลกมากมาย
เช่น Siam Paragon Bangkok International Fashion Week
ส่วน WWD หรือ Women's Wear Daily คือสื่อสิ่งพิมพ์ชั้นนำระดับโลกในวงการแฟชั่นกว่า 100 ปี
จนได้รับการขนานนามว่าเป็น “คัมภีร์แห่งวงการแฟชั่น”
สิ่งที่หลายคนไม่รู้คือ สยามพิวรรธน์ได้สร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญในวงการแฟชั่นไทย
ด้วยการจับมือกับ WWD สื่อแฟชั่นยักษ์ใหญ่ระดับโลก จัดงาน “WWD x SIAM PIWAT Global Fashion Spotlight” ร่วมกันผลักดันประเทศไทยสู่การเป็น “แฟชั่นฮับ” ของโลกอย่างเต็มภาคภูมิ
เรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ด้วยความน่าเชื่อถือ และอิทธิพลระดับโลกที่ไม่เคยหยุดนิ่ง
ทำให้สยามพิวรรธน์จับมือกับ WWD จัดงาน WWD x SIAM PIWAT Global Fashion Spotlight
เพื่อรวบรวม “ผู้นำทางความคิด” และ “ผู้ทรงอิทธิพล” ในอุตสาหกรรมแฟชั่นจากทั่วทุกมุมโลก
ทั้งแบรนด์ลักชัวรีระดับโลก ดิไซเนอร์ไทย อินฟลูเอนเซอร์ และสื่อมวลชน มาร่วมพูดคุย แลกเปลี่ยนมุมมอง และจุดประกายความคิดสร้างสรรค์
คุณชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ได้กล่าวว่า
“กว่า 40 ปี ที่สยามพิวรรธน์ได้บ่มเพาะและเป็นแพลตฟอร์มให้ดิไซเนอร์ไทยได้แสดงผลงาน และพื้นที่จัดจำหน่ายในศูนย์การค้า ร่วมพัฒนา “ระบบนิเวศ” ของวงการแฟชั่นไทย จนแข็งแกร่ง สร้างงาน สร้างรายได้ และมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล
วันนี้ จึงเป็นความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนสำคัญในการผลักดันแฟชั่นไทยสู่เวทีโลก หลังจากที่สนับสนุนทั้งแบรนด์ไทย และแบรนด์ระดับโลก ผ่านการจัดงานแฟชั่นระดับเวิลด์คลาส และร่วมมือกับ Luxury Brands
ทำให้ประเทศไทยเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของแบรนด์ชั้นนำระดับโลก ที่มุ่งเน้นขยายพื้นที่ร้านค้า นำเสนอสินค้าสุดเอกซ์คลูซิฟ และแบรนด์ใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง”
โดยงานนี้ได้แบ่งออกเป็น 3 Session หลัก ๆ ที่ทั้งเข้มข้น และเจาะลึกทุกมิติแฟชั่น
เริ่มต้นเจาะลึกกันที่ Session แรกคือ การสร้างแบรนด์ไทยให้ดังไกลระดับโลก หรือ Building Brands for a Global Consumer
โดยมี Speaker ดิไซเนอร์ชื่อดัง และตำนานแห่งวงการแฟชั่นระดับโลก อย่าง
- คุณวรรณศิริ คงมั่น Co-Founder และ Co-Creative Director ของ BOYY ลักชัวรีแบรนด์แฟชั่นที่ประสบความสำเร็จอย่างมากบนเวทีโลก
- คุณลี ซาง บอง (Lie Sang Bong) ดิไซเนอร์ชื่อดังระดับตำนานจากเกาหลีใต้ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ LIE SANGBONG และเป็นผู้ดำรงตำแหน่งประธานสภาแฟชั่นดิไซเนอร์คนแรกของเกาหลีใต้
- คุณ Octo Cheung Yan Yu Vice President จาก Shanghai Tang แบรนด์แฟชั่นจากฮ่องกงที่สะท้อนความเป็นเอเชียนได้อย่างสง่างามและได้รับการยอมรับในระดับโลก
เริ่มต้นด้วยคุณวรรณศิริ คงมั่น ที่มาเล่าถึงจุดเริ่มต้นของ BOYY แบรนด์กระเป๋าสุดฮิตที่เกิดจากความหลงใหลในงานฝีมือ
BOYY ก่อตั้งแบรนด์ขึ้นที่นิวยอร์กในปี 2006 โดยคุณวรรณศิริ และพาร์ตเนอร์
ซึ่งในยุคนั้น Social Media หรือ Influencer ยังไม่เป็นที่รู้จัก การบอกต่อแบบ “ปากต่อปาก” จึงเป็นกลยุทธ์หลักในการสร้างแบรนด์
ต่อมา คุณวรรณศิริตัดสินใจกลับมาเปิดร้าน BOYY แห่งแรกในกรุงเทพฯ โดยเลือกที่จะ “แตกต่าง” ด้วยการมี Retail Showroom เป็นของตัวเอง แทนที่จะฝากขายตาม Showroom ทั่วไป ซึ่งกลยุทธ์นี้ช่วยให้ BOYY สามารถควบคุมภาพลักษณ์ของแบรนด์ และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าได้อย่างเต็มที่
จากความสำเร็จในกรุงเทพฯ กลายเป็นแรงผลักดันให้ BOYY ขยายสู่มิลาน ซึ่งเป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูง เต็มไปด้วยแบรนด์ใหญ่ และแบรนด์เก่าแก่
แต่ BOYY ก็สามารถ “สร้างตำแหน่ง” ของตัวเองในฐานะ “Young Luxury Brand” ได้สำเร็จ ด้วยดิไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ และคุณภาพของวัสดุ
“การวาง Positioning ที่ชัดเจน ทำให้ BOYY เติบโตได้ง่ายขึ้น”
ปัจจุบัน BOYY ใช้ Social Media ในการสร้าง Brand Awareness และเข้าถึงลูกค้าทั่วโลก โดยเฉพาะ Instagram ที่ BOYY ประสบความสำเร็จอย่างมาก มีผู้ติดตามกว่า 306,000 คน และมียอด Engagement สูง
โดย BOYY เน้นกลยุทธ์การสร้าง Content ที่ไม่เน้น Quantity แต่เป็น Quality เป็นหลัก โดยเน้นภาพสวย ๆ และ Storytelling ที่น่าสนใจ
หนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญของ BOYY คือหลังจากที่ลิซ่า (Blackpink) ใส่สินค้าของ BOYY ที่ส่งผลให้กระเป๋า BOYY กลายเป็นกระแสไวรัล “สินค้า Collection นั้นขายหมดอย่างรวดเร็ว ทำให้บริษัทเห็น Impact ของ Influencer ที่มีต่อแบรนด์”
แน่นอนว่า Social Media มีบทบาทสำคัญมากในวงการแฟชั่น แต่แบรนด์ก็ต้องรักษาสมดุลของคอนเทนต์ด้วย ไม่ใช้ Ads มากเกินไป
เพื่อให้ Social Media ช่วยสร้างโอกาสให้กับแบรนด์ได้เป็นอย่างดี เช่น การสร้าง Brand Awareness การสื่อสารกับลูกค้า และการสร้าง Community
อย่างไรก็ตาม BOYY ไม่ได้เน้น Social Media เพียงอย่างเดียว แต่ยังให้ความสำคัญกับกลยุทธ์การตลาดแบบ “Word of Mouth” โดยเน้นการสร้าง “ประสบการณ์ที่ดี” ให้กับลูกค้า ตั้งแต่การออกแบบ การผลิต ไปจนถึงการบริการหลังการขาย
“เราเชื่อว่าการบอกต่อ และ Brand Loyalty เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการสร้างแบรนด์ระยะยาว”
มาถึงตรงนี้ เราคงพอเห็นถึงแนวคิดเบื้องหลังความสำเร็จของแบรนด์ไทยอย่าง BOYY ที่ไปเติบโตบนเวทีโลกกันบ้างแล้ว
คราวนี้ เราลองมาดูแนวคิดของคุณลี ซาง บอง (Lie Sang Bong) ดิไซเนอร์ชื่อดังระดับตำนานจากเกาหลีใต้ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ LIE SANGBONG และเป็นผู้ดำรงตำแหน่งประธานสภาแฟชั่นดิไซเนอร์คนแรกของเกาหลีใต้กันบ้าง
คุณลี ซาง บอง เล่าว่า LIE SANGBONG เริ่มต้นจากกรุงโซล ก่อนที่จะก้าวสู่เวทีแฟชั่นโลก ด้วยการจัดแสดงผลงานที่ Paris Fashion Week ซึ่งได้รับเสียงตอบรับอย่างดี และทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในระดับสากล
LIE SANGBONG โดดเด่นด้วยสไตล์ Avant-Garde ที่แหวกแนว และท้าทายขนบแฟชั่น ด้วยโครงสร้างและรูปทรงที่แปลกใหม่ ผสมผสานกับเทคนิคการตัดเย็บขั้นสูง เสื้อผ้าของ LIE SANGBONG จึงเปรียบเสมือนงานศิลปะที่สวมใส่ได้ สะท้อนถึงความคิดสร้างสรรค์ และวิสัยทัศน์ที่ล้ำสมัยของดิไซเนอร์
ในมุมมองของคุณลี ซาง บอง คิดอย่างไรกับคำถามที่ว่า ผู้ค้าปลีกและผู้บริโภคชาวตะวันตกรับรู้แบรนด์ไทย จีน และเกาหลีใต้แตกต่างกันหรือไม่ หรือมองว่าเป็น “Asian designers” เหมือนกันหมด ?
คุณลี ซาง บอง เชื่อว่า ผู้ค้าปลีก และผู้บริโภคชาวตะวันตก เริ่มมองเห็นความแตกต่างระหว่างแบรนด์ไทย จีน และเกาหลีใต้มากขึ้น แม้ว่าในอดีตพวกเขามักจะมองรวม ๆ ว่าเป็น Asian designers
“แต่ก่อนแบรนด์จากเอเชีย มักถูกมองว่าคล้าย ๆ กัน แต่ปัจจุบันผู้บริโภคมีความรู้ และเข้าใจในเอกลักษณ์ของแต่ละประเทศมากขึ้น พวกเขามองหาความแตกต่าง และคุณค่าเฉพาะตัวที่แต่ละแบรนด์นำเสนอ”
แล้วอะไรคือ ความเข้าใจผิด เกี่ยวกับดิไซเนอร์จากเอเชีย ในตลาดต่างประเทศ ?
คุณลี ซาง บอง มองว่า ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับดิไซเนอร์จากเอเชีย คือการมองว่าดิไซเนอร์เอเชียลอกเลียนแบบตะวันตก
จริง ๆ แล้ว ดิไซเนอร์เอเชียมีความคิดสร้างสรรค์เป็นของตัวเอง มีแรงบันดาลใจจากวัฒนธรรม และประวัติศาสตร์อันยาวนาน ซึ่งทำให้ผลงานของผู้คนในเอเชียมีเอกลักษณ์ และความแตกต่าง
ผู้บริโภคมองหาทางเลือกใหม่ ๆ และสนใจในความหลากหลาย แบรนด์จากประเทศต่าง ๆ ในเอเชีย ต่างก็มีจุดเด่น และเอกลักษณ์ของตัวเอง ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างกัน
นอกจากนี้ เขายังเน้นย้ำถึงปรัชญาการออกแบบของเขาที่เรียกว่า “ความงามแห่งโครงสร้าง” (The Beauty of Structure) ซึ่งผสมผสานเส้นสาย รูปทรง และสถาปัตยกรรม เข้ากับแฟชั่น โดยได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปะ และวัฒนธรรมเกาหลี
และยังให้ความสำคัญกับการร่วมงานกับศิลปิน นักออกแบบ และช่างฝีมือ เพื่อสร้างสรรค์ผลงานที่หลากหลาย และน่าสนใจ เช่น การร่วมมือกับ Swarovski ในการสร้างสรรค์ชุดประดับคริสตัล อีกด้วย
แล้วแบรนด์ระดับโลกอย่าง Shanghai Tang มีมุมมองที่น่าสนใจอย่างไร ?
คุณ Octo Cheung Yan Yu Vice President จาก Shanghai Tang แบรนด์แฟชั่นสุดหรูที่ก่อตั้งในฮ่องกง ได้ให้มุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับการสร้างแบรนด์ และการดำเนินธุรกิจในระดับสากล
Shanghai Tang ถือกำเนิดขึ้นในปี 1994 โดย Sir David Tang นักธุรกิจชาวฮ่องกง ผู้ต้องการฟื้นฟูความสง่างามของแฟชั่นจีน หลังจากที่วัฒนธรรมตะวันตกเข้ามามีอิทธิพล เขาต้องการนำเสนอเสื้อผ้าที่ผสมผสานความเป็นตะวันออก เข้ากับสไตล์โมเดิร์น โดยยังคงรักษาเอกลักษณ์ และมรดกทางวัฒนธรรมของจีนไว้
คุณ Octo เน้นย้ำถึงความสำคัญของการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาด และพฤติกรรมผู้บริโภค แม้จะต้องปรับตัว แต่ Shanghai Tang ก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์ และคุณค่าหลักของแบรนด์ไว้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความแตกต่าง
Shanghai Tang โดดเด่นด้วยการผสมผสานความคลาสสิกของวัฒนธรรมจีน เข้ากับความโมเดิร์น โดยนำเสนอเสื้อผ้า และเครื่องประดับ ที่มีดิไซน์ร่วมสมัย แต่ยังคงกลิ่นอายของความเป็นตะวันออก
เช่น การใช้ผ้าไหมจีน ลวดลายมังกร และสีสันสดใส ที่สะท้อนถึงความหรูหรา และวัฒนธรรมอันยาวนานของจีน
แล้วในมุมมองของคุณ Octo ความท้าทายสำคัญในการนำแบรนด์เข้าสู่ตลาดตะวันตก คืออะไร ?
คุณ Octo มองว่า การสร้างการรับรู้ให้กับแบรนด์ในตลาดใหม่ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะ Shanghai Tang เป็นแบรนด์ใหม่ ในตลาดที่ผู้คนคุ้นเคยกับแบรนด์ตะวันตก การสร้าง Brand Awareness และความน่าเชื่อถือ จึงเป็นกุญแจสำคัญในการเจาะตลาด
นอกจากนี้ การเข้าใจ และปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรม และรสนิยมของผู้บริโภคชาวตะวันตก ก็เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งปัจจุบัน ผู้บริโภคชาวตะวันตกเข้าใจ และเปิดกว้างมากขึ้นเกี่ยวกับแฟชั่น และวัฒนธรรมเอเชีย
“พวกเขามองหาเอกลักษณ์ และความแตกต่าง ที่สะท้อนถึงวัฒนธรรม และมรดกของแต่ละประเทศ”
แล้วในมุมมองของคุณ Octo ความสนใจในแบรนด์จากเอเชียมีวิวัฒนาการอย่างไรเมื่อเวลาผ่านไป ?
คุณ Octo อธิบายว่า แบรนด์จากเอเชีย ได้รับความนิยมมากขึ้น จากคุณภาพ ดิไซน์ และเอกลักษณ์ที่โดดเด่น ผู้คนเปิดรับความหลากหลาย และมองหาสิ่งใหม่ ๆ ที่แตกต่างจากเดิม แบรนด์เอเชียจึงได้รับโอกาสมากขึ้น ในการแสดงศักยภาพ และเติบโตในตลาดโลก
Shanghai Tang เป็นตัวอย่างหนึ่งของแบรนด์เอเชียที่ประสบความสำเร็จในระดับโลก โดยแบรนด์ให้ความสำคัญกับคุณภาพของวัสดุ และฝีมือการตัดเย็บที่ประณีต รวมถึงการเลือกใช้ผ้าไหม ผ้าฝ้าย และผ้าลินิน คุณภาพสูง และเทคนิคการตัดเย็บแบบดั้งเดิม เพื่อให้ได้เสื้อผ้าที่สวยงาม ทนทาน และมีคุณค่า
ไม่เพียงแต่เรื่องดิไซน์ Shanghai Tang ยังมุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ที่พิเศษ และน่าจดจำ ให้กับลูกค้า เช่น การจัด Private Event การให้บริการ Personal Shopper และ Customization Service เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า และสร้างความประทับใจ
มาถึงตรงนี้ เราคงพอเห็นถึงมุมมองในการสร้างแบรนด์จากเหล่าดิไซเนอร์ชื่อดัง และตำนานแฟชั่นระดับโลกกันบ้างแล้ว
แต่คำถามสำคัญสำหรับผู้ประกอบการ และเจ้าของแบรนด์หลาย ๆ คน
คือ เราควรเลือกนักลงทุนแบบไหน เพื่อให้แบรนด์ของเราเติบโตได้อย่างสง่างาม และมั่นคง ?
ทั้ง 3 ดิไซเนอร์มองเห็นตรงกันว่า การเลือกนักลงทุน ไม่ใช่แค่การมองหาเงินทุนเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมองหาพาร์ตเนอร์ที่เข้าใจ และมีวิสัยทัศน์ตรงกัน เพื่อที่จะร่วมกันสร้างความสำเร็จในระยะยาว
แน่นอนว่า เงินทุนเป็นสิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ แต่นักลงทุนที่ดี ต้องเป็นมากกว่าแค่คนให้เงิน พวกเขาควรเป็น Strategic Partner ที่สามารถให้คำแนะนำ สนับสนุนการเติบโต และช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้
นักลงทุนที่ดีควรเข้าใจในธุรกิจ และอุตสาหกรรมที่แบรนด์ดำเนินอยู่ เพื่อที่จะประเมินโอกาส และความเสี่ยงได้อย่างถูกต้อง และตัดสินใจลงทุนอย่างมีเหตุผล
การเลือกนักลงทุน จึงเป็นการตัดสินใจที่สำคัญไม่แพ้การสร้างแบรนด์ เพราะนักลงทุนที่ดี จะเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ช่วยให้แบรนด์เติบโตอย่างยั่งยืน
จบงานนี้ทำให้เราเห็นภาพชัดขึ้นว่า กรุงเทพฯ กำลังก้าวขึ้นเป็นแฟชั่นฮับ และศูนย์กลาง Luxury Market ที่สำคัญ ด้วย “ดีมานด์” ที่สูง ดึงดูด “ซัปพลาย” จากทั่วทุกมุมโลก
สยามพิวรรธน์จึงมุ่งมั่นสร้าง “แพลตฟอร์ม” และ “รันเวย์” สำหรับทั้งแบรนด์ไทย และแบรนด์ต่างประเทศ เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางแฟชั่นแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างสมบูรณ์แบบ…
Reference:
- สรุปงาน WWD x SIAM PIWAT Global Fashion Spotlight โดยลงทุนแมน

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

SPONSORED
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon