เบื้องหลัง “ความงามที่ขับเคลื่อนโลก” ของ L’Oréal ที่สร้าง Impact ให้คนทั้งโลก

เบื้องหลัง “ความงามที่ขับเคลื่อนโลก” ของ L’Oréal ที่สร้าง Impact ให้คนทั้งโลก

L’Oréal X ลงทุนแมน
ในปี 2023 ที่ผ่านมา L’Oréal Group สร้างปรากฏการณ์ยอดขาย New High ในรอบ 20 ปี
ด้วยยอดขาย 4.118 หมื่นล้านยูโร เติบโตจากปี 2022 ถึง 11%
โดยยอดขายทั้งหมดมาจากการทำธุรกิจผลิตภัณฑ์ความงามกว่า 150 ประเทศทั่วโลก มีแบรนด์ในเครือเกือบ 40 แบรนด์
โดยแบรนด์ที่คนไทยรู้จักกันดี อย่าง L’Oréal Paris, Garnier และ Maybelline New York
ส่วนแบรนด์ความงามชั้นสูง อย่าง Lancôme, YSL Beauty, Kiehl’s, Giorgio Armani หรือเวชสำอางแบรนด์ดังอย่าง La Roche-Posay และ CeraVe
รายได้ที่เติบโตทุก ๆ ปี และการมีแบรนด์มากมายที่ตอบโจทย์ความงามของผู้หญิงครบทุก Gen ครบทุกความต้องการ รวมไปถึงการดูแลผิวของผู้ชายและกลุ่ม LGBTQIA+ ทำให้ L’Oréal Group ยืนหนึ่งด้านความงามระดับโลกมาอย่างยาวนาน
ความแข็งแกร่งทางธุรกิจตรงนี้ อาจทำให้หลายคนคิดว่าเส้นทางธุรกิจของ L’Oréal Group ในอนาคตคงไม่มีความท้าทายอะไรให้น่าเป็นห่วง
แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม เมื่อวันนี้ L’Oréal ต้องการให้ทุกแบรนด์สินค้าความงาม มุ่งสู่ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมสมบูรณ์แบบ ด้วยแนวคิด “ความงามที่ขับเคลื่อนโลก”
ทำไม เรื่องนี้ถึงเกี่ยวข้องกับทุกคนบนโลกใบนี้ ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
รู้หรือไม่ L’Oréal เป็นบริษัทความงามรายแรกของโลก ที่คิดค้นเนื้อเยื่อสังเคราะห์เพื่อแทนการใช้สัตว์ในการวิจัยทดลองผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ พร้อมกับมีนโยบายในเรื่องสิ่งแวดล้อม
ขณะเดียวกันก็เฝ้ามอง ดิน น้ำ อากาศ แหล่งอาหาร บนโลกค่อย ๆ มีสุขภาพแย่ลงเรื่อย ๆ จนอาจจะเริ่มเกินขีดจำกัดที่โลกใบนี้จะรับไหว
L’Oréal จึงเลือกปรับเข็มทิศธุรกิจตัวเองไปสู่โหมดความยั่งยืนอย่างจริงจัง พร้อมกับตั้งเป้าหมายที่ท้าทายมากมายในเฟสที่ผ่านมา
โดยปักหมุดเฟสการดำเนินงานโปรแกรมล่าสุดภายในปี 2030 ทุกกระบวนการผลิตสินค้าความงามจะใช้ส่วนผสมจากแหล่งชีวภาพ 95% ส่วนแพ็กเกจจิงก็จะใช้พลาสติกรีไซเคิล 100% หรือใช้วัสดุชีวภาพ จนถึงลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ในกระบวนการผลิตและการขนส่ง ซึ่งทุกโรงงานไซต์งานต้องใช้พลังงานหมุนเวียน 100%
แปลว่า การจะไปถึงเป้าหมายนี้ L’Oréal ต้องลงมือทำมายาวนาน
เพื่อที่จะค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนทุกกระบวนการในธุรกิจตัวเอง
ซึ่งเป็นที่มาของโปรแกรมเฟสล่าสุด “L’Oréal for the Future” ที่แก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรงทั้งภาวะโลกร้อนจนเราเองก็เริ่มจะทนไม่ได้, มลพิษทางอากาศ, ทรัพยากรธรรมชาติที่ลดน้อยถอยลง เป็นต้น
แล้วที่ผ่านมา L’Oréal ทำอะไรไปบ้าง ?
เริ่มต้นในเรื่องกระบวนการผลิตสินค้าความงาม
L’Oréal ถือเป็นบริษัทความงามที่ใช้งบวิจัยผลิตภัณฑ์ความงามสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ปีละกว่า 1,000 ล้านยูโร และทุก ๆ งานวิจัยนั้น
จะต้องอยู่ในกรอบการสร้างผลิตภัณฑ์ที่สร้างความงามให้แก่ผู้คนและโลกใบนี้
โดยคิดค้น “สูตรและส่วนผสม” ที่มีการนำหลัก Green Science เพื่อความยั่งยืนมาใช้อย่างจริงจัง เพื่อจะบรรลุให้สูตรทุกผลิตภัณฑ์ผลิตมาจากวัตถุดิบธรรมชาติถึง 95% และวัตถุดิบต้องมาจากแหล่งยั่งยืน 100%
ทำให้ช่วงที่ผ่านมา L’Oréal ได้สร้างปรากฏการณ์ในกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ความงามได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
ในปี 2020 ผลิตภัณฑ์ใหม่และผลิตภัณฑ์ที่ปรับสูตรใหม่ที่ออกสู่ตลาดมีถึง 96% ที่มีส่วนช่วยให้สิ่งแวดล้อมโลกดีขึ้น
ขณะเดียวกันก็คิดค้นให้ผลิตภัณฑ์ความงามนั้น มีประสิทธิภาพสูงตอบโจทย์ความงามของผู้หญิงยุคนี้
นับตั้งแต่ปี 2005 ถึง 2020 L’Oréal ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากโรงงาน และศูนย์กระจายสินค้า 81% มากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้คือ 60%
ส่วนแพ็กเกจจิงผลิตภัณฑ์ความงาม L’Oréal คิดค้นสารพัดวิธีที่จะลดการใช้ทรพยากรโดยทำมาจากพลาสติกรีไซเคิล และนำไป “รีไซเคิล” ให้กลับมาใช้ใหม่ได้อีกครั้ง เช่น ขวดน้ำหอมที่เติมใหม่ได้, ครีมบำรุงผิวแบบรีฟิล จนถึงเปลี่ยนแพ็กเกจจิงสินค้าบางประเภท จากพลาสติกก็เปลี่ยนมาเป็นกระดาษ และยังมีการใช้วัสดุจากแหล่งชีวภาพมาทดแทน เป็นต้น
ดูเหมือนความพยายามทั้งหมดของ L’Oréal จะสำเร็จตามคาด
เมื่อในปี 2023 ที่ผ่านมา แพ็กเกจจิงพลาสติก PET ที่บริษัทใช้ 85% มาจากการรีไซเคิล
อีกทั้งยังออกแบบเพื่อลดความหนาแน่นของแพ็กเกจจิงที่คาดว่าเมื่อถึงปี 2030 จะลดได้ถึง 20% เมื่อเทียบกับปี 2019
ทำให้ L’Oréal มั่นใจว่าเมื่อถึงปี 2030 บรรจุภัณฑ์พลาสติกของตัวเอง
จะมาจากพลาสติกรีไซเคิล และบรรจุภัณฑ์อื่นทั้งหมดทั้งปวงต้องสามารถรีไซเคิล รีฟิล หรือย่อยสลายได้
ส่วนสำนักงานในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน
เช่น การหันมาใช้พลังงานหมุนเวียนในรูปแบบต่าง ๆ รวมไปถึงอาคารไซต์งาน 131 แห่ง ใช้พลังงานหมุนเวียน 100% หรือคิดเป็น 79% ของไซต์งานทั้งหมดทั่วโลก และคาดว่าเร็ว ๆ นี้ทุกไซต์งานจะใช้พลังงานหมุนเวียนกันหมดตามเป้าภายในปีหน้า
ความพยายามที่จริงจังนานกว่า 10 ปี เพื่อทำธุรกิจความงามให้อยู่ในโหมด “ความยั่งยืน” ได้ทำให้ L’Oréal เป็นบริษัทเดียวในโลก ที่ได้รับคะแนนระดับ “A” จาก CDP ถึง 3 ด้าน ได้แก่ การต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การจัดการน้ำอย่างยั่งยืน และการอนุรักษ์ป่าไม้ ถึง 8 ปีติดต่อกัน
ที่น่าสนใจคือ การปรับตัวสู่โหมดความยั่งยืน ที่ทุก ๆ ผลิตภัณฑ์ความงามของ L’Oréal จะขับเคลื่อนด้วยคำว่า Green กลับได้การตอบรับจากผู้บริโภคทั่วโลกอย่างเกินคาด
สะท้อนจากยอดขายที่เติบโตเหนือตลาดต่อเนื่องและเป็นตัวเลข 2 หลักในปีที่แล้ว
เหตุผลเพราะเวลานี้ คนทั่วโลกเริ่มตื่นตัวแล้วว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมได้สร้างผลกระทบในการใช้ชีวิตประจำวันของตัวเอง
การซื้อสินค้าที่มาจากบริษัทที่มีการทำงานด้าน ESG ที่พิสูจน์การดำเนินงานได้เสมือนเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ช่วยให้สุขภาพของโลกใบนี้ไม่ย่ำแย่ลงไปกว่านี้
แม้การปรับเปลี่ยนไปสู่โมเดลธุรกิจความยั่งยืน L’Oréal จะต้องแลกมาด้วย “ต้นทุนธุรกิจที่เพิ่มขึ้น” และเวลาที่เสียไป แต่เชื่อได้เลยว่า L’Oréal จะขับเคลื่อนแนวคิดนี้ อย่างไม่มีวันสิ้นสุด และดำเนินธุรกิจได้อย่างเข้มแข็งต่อไปในอนาคต
เพราะ L’Oréal รู้ดีว่า ปัจจุบันโลกใบนี้เริ่มจะเกินขีดจำกัดในการรับความเสียหายจากสิ่งแวดล้อม พร้อมกับค่อย ๆ แสดงอาการป่วยที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
การลงทุนมหาศาล, การปรับตัวทางธุรกิจครั้งใหญ่ ของ L’Oréal จึงเป็นเพียงแค่ส่วนที่บริษัทสามารถที่จะบริหารจัดการในส่วนของบริษัทเอง ช่วยเหลือไม่ให้สุขภาพของโลก เลวร้ายไปกว่านี้
เรื่องนี้จะไม่ใช่แค่ L’Oréal และบริษัทต่าง ๆ ที่อยู่บนโลกใบนี้
แต่หมายถึง มนุษย์ ต้องช่วยกันขับเคลื่อนให้โลกใบนี้สวยงาม ก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายเกินกว่าจะแก้ไข
References
-เอกสารความยั่งยืน ลอรีอัล กรุ๊ป
-ข่าวประชาสัมพันธ์ บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จํากัด

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

SPONSORED
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon