พันธบัตรรัฐบาล ฉบับ BNK48

พันธบัตรรัฐบาล ฉบับ BNK48

พันธบัตรรัฐบาล ฉบับ BNK48 / โดย ลงทุนแมน
ถ้าจะให้อธิบายว่าพันธบัตรรัฐบาลคืออะไร
ก่อนที่จะเริ่มอ่าน หลายคนคงง่วงนอน
แต่วันนี้ลงทุนแมนจะมาเล่าว่า
พันธบัตรรัฐบาลคืออะไรในฉบับ BNK48
ถ้าพร้อมแล้วเชิญเสพได้เลย
ถ้าถามว่าพันธบัตรคืออะไรก็คงต้องย้อนกลับไปถึงจุดกำเนิดในสมัยโบราณ
ในยุคโบราณนั้นเมื่อผู้มีอำนาจต้องการก่อสงครามขึ้น พวกเขามักมีอำนาจเบ็ดเสร็จ เด็ดขาดในการกะเกณฑ์ไพร่พล หรือทรัพย์สินต่างๆ มาใช้ได้อย่างเต็มที่
แต่ในยุคต่อมา แค่มีอำนาจอย่างเดียวคงไม่พอ รัฐบาลคงต้องมีเงินด้วย
ไม่ว่าจะเป็นสงครามใดๆ ล้วนมีความต้องการใช้เงินทุนมหาศาลเสมอเนื่องจากรัฐบาลไม่ได้มีอำนาจในการกะเกณฑ์ทรัพยากรต่างๆ มาใช้ฟรีๆ เช่นในอดีตอีกต่อไป
ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เวชภัณฑ์ อาวุธ หรือแม้แต่เงินเดือนของทหาร ล้วนต้องแลกมาด้วยต้นทุนมหาศาลทั้งสิ้น
แล้วรัฐบาลต้องทำอย่างไร?
คำตอบคือ รัฐบาลต้อง “ระดมทุน”
ถ้าเราเป็นคนธรรมดาไปขอระดมทุนกู้เงินจากคนอื่น ก็คงจะไม่มีใครเชื่อมั่นเท่าไร
ยิ่งถ้าเราเป็นคนแก่แล้ว ยิ่งขอกู้ยิ่งยาก เช่น ถ้าใครอายุ 60 ปี แล้วไปขอกู้เงินซื้อบ้านจากธนาคาร คงไม่มีธนาคารไหนอยากจะปล่อยกู้
มาถึงตรงนี้ทุกคนคงสงสัยว่า พันธบัตร เกี่ยวอะไรกับ BNK48
มันคงไม่ได้เกี่ยวกันโดยตรง แต่ทั้ง 2 อย่างนี้มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ โมเดลของการทำให้ตัวตนนั้นอยู่ได้ “ตลอดไป”
BNK48 ใช้คอนเซ็ปต์ที่ว่า ใครจะเข้าหรือจะออกจากวงก็ได้ แต่ตัวแบรนด์ BNK48 ต้องอยู่ไปตลอด
ไม่เหมือนวงเกิร์ลกรุ๊ปสมัยก่อนที่ใครลาออกจากวง มีความเสี่ยงที่วงนั้นจะต้องยุบไป
พันธบัตรรัฐบาลก็เช่นเดียวกัน
ต่อให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง หรือมาจากทหาร ใครที่มาเป็นรัฐบาลก็ต้องจ่ายดอกเบี้ยให้กับผู้ถือพันธบัตร
ดังนั้นเสถียรภาพของพันธบัตรรัฐบาล ดูจะมั่นคงกว่า เสถียรภาพของตัวรัฐบาลเองเสียอีก
พันธบัตรรัฐบาลก็เปรียบเสมือนชื่อวง BNK48 ส่วนรัฐบาลก็เปรียบเป็นแค่เมมเบอร์ในวงนี้ (ส่วนประชาชนอย่างเราก็คงจะเป็นแค่โอตะ)
แต่จริงๆ แล้วพันธบัตรรัฐบาลมีพลังอะไรที่ซ่อนอยู่อย่างที่เราคาดไม่ถึง โดยเฉพาะแสดงถึงอำนาจของประเทศนั้น
ประเทศไหนมีศักยภาพในการระดมทุนเพื่อมาทำสงครามได้มากกว่า ก็มักจะเป็นประเทศมหาอำนาจของโลก
ในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษและฝรั่งเศสถือว่าเป็นชาติมหาอำนาจที่สำคัญของโลกยุคเก่าทั้งในด้านเศรษฐกิจและการทหาร
การปะทะกันเล็กๆ น้อยๆ หรือแม้กระทั่งเกิดข้อพิพาทจนนำไปสู่สงครามของทั้งสองชาตินั้นมีให้เห็นเป็นระยะเสมอๆ
อย่างไรก็ตาม มีการประมาณการกันว่าในยุคนั้น ฝรั่งเศสมีจำนวนประชากรมากกว่าอังกฤษราวๆ 4 เท่า และมีรายได้จากอาณานิคมมากกว่าอังกฤษถึงราว 2 เท่า
เหตุใดประเทศที่ดูจะมีทรัพยากรมากกว่าอย่างฝรั่งเศส จึงไม่สามารถพิชิตประเทศที่ดูเล็กกว่ามากอย่างอังกฤษลงได้อย่างเด็ดขาดเสียที
คำตอบนั้นคือ “การระดมทุนแบบสมัยใหม่”
เช่นเดียวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศเล็กๆ อย่าง “เนเธอร์แลนด์” ที่ใช้ตลาดหุ้นในการระดมเงินจากพ่อค้าประชาชนมาเป็นทุนในการทำกิจการ จนเกิดบริษัทข้ามชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลกขึ้นมาแล้ว (อ่านบทความเก่า VOC ได้ที่นี่ https://www.longtunman.com/3192 )
อังกฤษได้นำแนวคิดนี้มาปรับใช้ โดยระดมทุนผ่านการกู้ยืมเงินจากประชาชนโดยตรง
หรือที่เราเรียกกันว่าการออกพันธบัตรรัฐบาล (Government Bond)
ซึ่งพันธบัตรนี้ พูดง่ายๆ ก็คือ สัญญาเงินกู้ระหว่างรัฐบาลกับประชาชน โดยที่ประชาชนหรือผู้ให้กู้ จะได้รับดอกเบี้ยเป็นงวดๆ รวมถึงเงินต้นที่ให้กู้ยืมไป คืนจากรัฐบาล เมื่อครบกำหนดตามสัญญา
ในขณะที่ฝรั่งเศสขึ้นภาษี และหาทางขูดรีดประชาชนของตนอย่างหนัก
แต่รัฐสภาอังกฤษใช้วิธีออกพันธบัตร เพื่อกู้เงินจากประชาชนของตนไปเป็นทุนในการทำสงคราม
ในขณะที่คนฝรั่งเศสถูกรัฐบาลขูดรีดอย่างยากลำบาก
ชาวอังกฤษที่ซื้อพันธบัตรไว้กลับใช้ชีวิตแบบผู้ดีสุขสบาย กินดอกเบี้ยพันธบัตรไปเรื่อยๆ ใช้เวลาว่างนั่งทานน้ำชา ถกปรัชญาการเมืองกันไปเรื่อยๆ ประชาชนก็ได้ดอกผลจากการลงทุน รัฐบาลก็ได้ทุนมาทำสงครามและใช้จ่ายอื่นๆ
เรียกได้ว่า win-win กันไปทั้งสองฝ่าย
ในระยะยาวนั้นเราคงได้เห็นกันจากหน้าประวัติศาสตร์กันแล้ว เมื่อมีทุนในการทำสงครามมากขึ้นและต่อเนื่องขึ้น อังกฤษก็ออกล่าอาณานิคมมากขึ้น
เงินที่ได้ก็นำกลับมาพัฒนาประเทศและกองทัพต่อไปเรื่อยๆ จนมาถึงจุดที่จักรวรรดิฝรั่งเศสของนโปเลียนล่มสลายลง อังกฤษก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำโลกอย่างเบ็ดเสร็จจนถึงขนาดได้รับกล่าวว่า “พระอาทิตย์ ไม่เคยตกดินในจักรวรรดิบริติช”
อังกฤษมีอาณานิคมไปทั่วโลกในแทบทุกทวีป ปกครองประชากรกว่า 1 ใน 5 ของประชากรโลกในยุคนั้น ดินแดนของอังกฤษคิดเป็นพื้นที่เกือบ 1 ใน 4 ของแผ่นดินโลก
ต่อมาในสงครามโลกครั้งที่ 1 สหรัฐอเมริกาก็ได้นำหลักนี้มาใช้ในการระดมทุนไปทำสงคราม
3 สัปดาห์หลังจากประกาศสงคราม รัฐบาลสหรัฐ ได้ออกกฎหมายให้รัฐบาลกู้เงินไปทำสงครามในชื่อ “เงินกู้เพื่อเสรีภาพ (Liberty bonds)” โดยมีการออกใบปลิว โฆษณา รวมถึงการใช้ผู้มีชื่อเสียงในการประชาสัมพันธ์โครงการนี้อย่างครึกโครม
นี่นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกาที่ออกพันธบัตรรัฐบาล
มีการประมาณการกันว่ารัฐบาลได้กู้เงินไปมากกว่า 18,000 ล้านดอลลาร์ (ในยุคสงครามโลก) โดยมีจำนวนผู้ลงทุนในพันธบัตรกว่า 20 ล้านคน จากที่มีผู้ถือพันธบัตรเพียง 2 แสนคนก่อนสงครามเท่านั้น
ผลจากการระดมทุนของสหรัฐ ก็ทำให้สหรัฐมีเงินมากพอที่จะทำสงครามชนะ และทำให้ค่อยๆ ก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจหลักของโลกหลังจากนั้น
และตั้งแต่นั้นมาทุกรัฐบาลก็ใช้หลักการนี้ในการระดมทุนเพื่อนำเงินมาใช้จ่ายภาครัฐ รวมถึงประเทศไทย
ในยามที่บ้านเมืองไม่มีสงคราม รัฐบาลก็จะนำเงินไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนนหนทาง รถไฟ เสาไฟฟ้า เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชน
แต่ความหอมหวานนำมาซึ่งการเสพติด
ตอนนี้การกู้ยืมของรัฐบาลในหลายประเทศใกล้ถึงขีดสุดแล้ว หรือเรียกได้ว่ามีหนี้สินท่วมหัว ไม่รู้กี่ปีกี่ชาติจะใช้หนี้หมด
แต่ถามว่าทำไมประชาชนถึงยอมซื้อพันธบัตรจากรัฐบาลอยู่
ก็คงจะต้องตอบว่า ประชาชนยังเชื่อว่ารัฐบาลสามารถหมุนหนี้ไปได้เรื่อยๆ และต่อให้ใครมาเป็นรัฐบาล รัฐบาลก็น่าจะสามารถจ่ายดอกเบี้ยให้เขาได้อยู่ดี
แต่เราอย่าลืมว่าการกู้เงินจากภาครัฐเพิ่งเกิดขึ้นภายในศตวรรษที่ผ่านมานี้เอง ภายใต้ประวัติศาสตร์มนุษย์มาเป็นแสนปี
จะมีอะไรมารับประกันได้ว่าเรื่องมันจะสวยหรูอย่างนี้ไปตลอด
รัฐบาลจะสามารถออกพันธบัตรรัฐบาลไปเรื่อยๆ ได้หรือไม่
โมเดล BNK48 ของพันธบัตรรัฐบาลจะใช้ได้ไปตลอดหรือไม่
คงต้องให้คุกกี้ทำนายกัน..
———————-
<ad> ประเทศที่จะก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจในอนาคตคือ “ประเทศจีน”
แต่สำหรับคนไทยเชื้อสายจีนแล้ว เราอาจมีผู้ช่วย..
นอกจากเก่งแล้วเราเรายังต้องเฮง เสริมฮวงจุ้ยกันด้วย
เฮงเฮงฮวงจุ้ย ศูนย์รวมของมงคลเสริมฮวงจุ้ย
ตี่จู้เอียะหินอ่อน ศาลพระภูมิ เจ้าแม่กวนอิม สิงโต
ฮกลกซิ่ว
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
tel:084-696-4444 /
Line ID: henghengmarble /
FB: henghengmarble / website: www.henghengmarble.com
———————-

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

SPONSORED
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon