เครือสหพัฒน์ กับสัญญา MOU 18 ฉบับ ที่จะสร้างการเติบโตให้ธุรกิจและเศรษฐกิจของประเทศ ไปพร้อม ๆ กัน

เครือสหพัฒน์ กับสัญญา MOU 18 ฉบับ ที่จะสร้างการเติบโตให้ธุรกิจและเศรษฐกิจของประเทศ ไปพร้อม ๆ กัน

เครือสหพัฒน์ กับสัญญา MOU 18 ฉบับ ที่จะสร้างการเติบโตให้ธุรกิจและเศรษฐกิจของประเทศ ไปพร้อม ๆ กัน
เครือสหพัฒน์ X ลงทุนแมน
เมื่อเอ่ยถึง เครือสหพัฒน์ อย่างแรกที่คนทั่วไปนึกถึง
คือบริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาดสินค้าอุปโภค, ผู้นำธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม
จนถึงการเป็นผู้พัฒนาสวนอุตสาหกรรม และการลงทุนต่าง ๆ
แต่ ณ วันนี้ เครือสหพัฒน์ กำลังจะมีธุรกิจใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามาอย่างมากมาย
เมื่อล่าสุดบริษัทได้ตัดสินใจเซ็น MOU ถึง 18 ฉบับ ในงานสหกรุ๊ปแฟร์ ครั้งที่ 28 นับเป็นการเซ็น MOU มากที่สุด จนกลายเป็นบันทึกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของบริษัทเลยทีเดียว
การเซ็น MOU ครั้งนี้ ถือเป็นสัญญาณที่ชัดเจนแล้วว่า ต่อจากนี้ไป เครือสหพัฒน์ จะเข้าไปสู่ธุรกิจใหม่ ๆ ผ่านการร่วมมือกับบริษัทอื่น ๆ
การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่นี้จะนำพา เครือสหพัฒน์ ไปในทิศทางใด ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
หากดู MOU ทั้ง 18 ฉบับ ที่ทางเครือสหพัฒน์ได้ลงนาม จะพบว่า บริษัทให้ความสนใจในธุรกิจที่เป็น “เมกะเทรนด์” นั่นคือ ธุรกิจแพลตฟอร์ม, บริการ, ไบโอเทค, ความรู้ และธุรกิจเพื่อความยั่งยืน
ลองมาดู ธุรกิจแพลตฟอร์ม กันก่อน..
เครือสหพัฒน์ ได้เซ็นสัญญาร่วมมือกับ เอ็มทีเอส โกลด์ ผู้นำด้านทองคำครบวงจรรายใหญ่สุดในประเทศไทย
เพื่อร่วมมือกันผลิตทองคำแท่งบริสุทธิ์ 99.99% เข้ามาอยู่ในระบบดิจิทัล โกลด์ เซฟวิ่ง ที่จะให้ลูกค้าใช้ในการออมทองหรือการลงทุนในทองคำ จนถึงการใช้ทองคำเป็นหลักทรัพย์สำรองของเครือสหพัฒน์ และพันธมิตรธุรกิจ นั่นเอง
ส่วนอีก 3 แพลตฟอร์มใหม่ที่จะเกิดขึ้น เป็นการร่วมมือกับ ลาลาสเตชันส์ (LALA STATIONS) ผู้นำธุรกิจไลฟ์คอมเมิร์ซจากเกาหลีใต้ เพื่อพัฒนาไลฟ์คอมเมิร์ซแพลตฟอร์มแรกของไทย
โดยธุรกิจนี้กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มคนรุ่นใหม่ในประเทศเกาหลีใต้
ส่วนการร่วมมือกับ เอตัวล์ ไคโตะ (Etoile Kaito) ผู้นำค้าส่งสินค้าจากญี่ปุ่น จะเป็นการแลกเปลี่ยนสนับสนุนผลิตภัณฑ์ของแต่ละฝ่าย เพื่อขยายสู่ตลาดต่างประเทศ
จนถึงการร่วมมือกับ ออร์บิกซ์ เทค (Orbix Tech) เพื่อร่วมกันพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน
มาถึงธุรกิจที่หลายคนอาจไม่คาดคิดว่า เครือสหพัฒน์ จะเข้ามาลงทุนผ่านการเซ็น MOU ครั้งนี้ นั่นคือการร่วมมือกับ สกายไดรฟ์ (SkyDrive) เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในธุรกิจอากาศยานไฟฟ้าขึ้นลงในแนวดิ่ง

หากธุรกิจนี้เกิดขึ้นจริง ถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่แห่งการจราจรทางอากาศของประเทศไทย..
ซึ่งหากทุกอย่างไปได้สวย.. ทางเครือสหพัฒน์ ก็มีแผนขยายฐานการผลิตมาอยู่ในประเทศไทย
ส่วนอีกหนึ่ง Movement ที่น่าสนใจก็คือ การเข้าสู่ธุรกิจการแพทย์และความงาม ด้วยการร่วมมือกับคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ที่เปิดโครงการศูนย์พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุแบบครบวงจร โดยเป็นความร่วมมือกันทั้งด้านวิชาการและเทคโนโลยี เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้แก่กัน
ส่วนธุรกิจความงาม ทางเครือสหพัฒน์ได้ร่วมกับ ฟาสต์ บิวตี้ (Fast Beauty) ธุรกิจร้านทำสีผมอันดับ 1 จากญี่ปุ่น โดยจะเปิดร้านทำสีผมชื่อว่า fufu ในไทย ประเดิมสาขาแรกที่ย่านทองหล่อ
ส่วนอีกหนึ่งธุรกิจที่น่าจะสร้าง Impact ในวงการบริการด้านอสังหาริมทรัพย์เมืองไทย นั่นคือ การผนึกกำลัง 2 พันธมิตรยักษ์ใหญ่ คือ โตคิว คอร์ปอเรชั่น เป็นผู้นำด้านบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์จากประเทศญี่ปุ่น และดุสิตธานี
ซึ่งการร่วมมือกันของเครือสหพัฒน์ กับทางโตคิว คือการสร้างโครงการ “คิงสแควร์ เรสซิเดนซ์” คอนโดมิเนียมระดับ Luxury และโครงการดุสิต สวีต คิงสแควร์ กรุงเทพฯ ซึ่งจะเป็นทั้งเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์และโรงแรม
โดยทางเครือสหพัฒน์ ยังได้ร่วมมือกับทางดุสิตธานี เพื่อให้ดูแลบริหารจัดการภายในโครงการผ่านทีมงานที่ชื่อว่า Dusit Hospitality Services
ส่วนอีกหนึ่งโปรเจกต์ของการร่วมมือครั้งนี้ระหว่างเครือสหพัฒน์ กับทางโตคิว คือการเปิดตัวบริษัทใหม่ที่ชื่อ สห โตคิว พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเมนต์ จำกัด ดำเนินธุรกิจด้านบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ในไทย
แม้เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน แต่บริษัทกลับสามารถสร้างฐานลูกค้าได้ทันที โดยเข้ามาดูแลและบริหาร โครงการคิงสแควร์ คอมมูนิตี้ มอลล์ และโครงการคิงบริดจ์ ทาวเวอร์ พร้อมกับเตรียมขยายฐานลูกค้า
ส่วนอีกหนึ่งธุรกิจที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ “การศึกษา”..
โดยได้ร่วมมือกับ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, นิด้า, สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เพื่อพัฒนาบุคลากรป้อนให้กับอุตสาหกรรมผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ที่จะช่วยให้ประเทศไทยมีสัดส่วนการผลิต PCB ในตลาดโลกเพิ่มขึ้น และในอนาคตอาจเป็นฐานการผลิตสำคัญในอาเซียน
จนถึงยังได้ร่วมมือกับสถาบันการศึกษาอื่น ๆ อีกมากมาย ที่จะสร้างการเรียนรู้ระบบใหม่ ๆ
ถึงตรงนี้ แน่นอนว่า การเซ็นสัญญา MOU ครั้งนี้ จะต้องมีเทรนด์โลกอย่าง “ความยั่งยืน” ที่เป็นหนึ่งในเป้าหมายที่ เครือสหพัฒน์ ต้องการจะไปถึงในอนาคตอันใกล้
โดยปี 2567 นี้ ได้ร่วมมือกับ ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส นำบริษัทในเครือสหพัฒน์กว่า 70 แห่ง มาใช้โซลูชัน “โกกรีน พลัส” เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนฯ จากการขนส่งด่วนทางอากาศ
ผ่านการใช้เชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืน ที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 80% หากเทียบกับการใช้น้ำมันเครื่องบินทั่วไป
นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือกับ บี.กริม เพาเวอร์ พัฒนาที่จอดรถยนต์ไฟฟ้าที่โครงการ คิงสแควร์ เรสซิเดนซ์ รวมทั้งติดตั้งโซลาร์รูฟที่โครงการ คิงสแควร์ คอมมูนิตี้ และความร่วมมือกับ เอสซี แกรนด์ เพื่อพัฒนาสินค้าแฟชั่นที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
จะเห็นว่า ทุกความเคลื่อนไหวของเครือสหพัฒน์ครั้งนี้ เป็นการนำจุดแข็งของตัวเองมาผสมผสานกับบริษัทพันธมิตร เพื่อต่อยอดไปสู่ธุรกิจใหม่ ๆ
สิ่งที่ตามมาคือ บริษัทจะมีรายได้มากกว่าในอดีต ผ่านธุรกิจที่หลากหลายมากขึ้น อีกทั้งวิธีนี้ยังช่วยกระจายความเสี่ยงในการทำธุรกิจในยุคนี้ได้เป็นอย่างดี
ที่สำคัญ หากธุรกิจใหม่ ๆ เหล่านี้ ประสบความสำเร็จ
สิ่งที่ตามมาคือ ประเทศไทยเอง ก็จะมีนวัตกรรมใหม่ ๆ พร้อมกับเกิดการจ้างงานในสเกลที่ใหญ่ขึ้น
ตรงนี้เองที่จะทำให้ เครือสหพัฒน์ เติบโตไปพร้อมระบบเศรษฐกิจไทย
ถือเป็นเป้าหมายสูงสุดนับตั้งแต่บริษัทแห่งนี้ก่อตั้งมากว่า 80 ปีที่แล้ว
Reference
- ข่าวประชาสัมพันธ์ งานสหกรุ๊ปแฟร์ ครั้งที่ 28
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon