Disney อาจก้าวพลาด เพราะเร่งผลิตคอนเทนต์ มากเกินไป
Disney อาจก้าวพลาด เพราะเร่งผลิตคอนเทนต์ มากเกินไป /โดย ลงทุนแมน
หากถามว่าใคร คือผู้นำในตลาดภาพยนตร์ใน 3 ปีก่อนหน้านี้
คำตอบก็คือ “Disney” ซึ่งครองส่วนแบ่งการตลาด มากถึง 35%
หากถามว่าใคร คือผู้นำในตลาดภาพยนตร์ใน 3 ปีก่อนหน้านี้
คำตอบก็คือ “Disney” ซึ่งครองส่วนแบ่งการตลาด มากถึง 35%
โดยหนึ่งในวิธีที่ Disney ใช้คือ การปรับกลยุทธ์จาก การเร่งผลิตภาพยนตร์ในปริมาณมาก
มาเป็นการสร้างภาพยนตร์เพียงไม่กี่เรื่อง ที่มีคุณภาพแทน
มาเป็นการสร้างภาพยนตร์เพียงไม่กี่เรื่อง ที่มีคุณภาพแทน
แต่หากลองมาดูจำนวนภาพยนตร์ และแอนิเมชันที่ Disney ผลิต ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
จะพบว่า Disney เริ่มปรับกลยุทธ์เร่งสร้างภาพยนตร์ รวมถึงแอนิเมชัน และซีรีส์ให้มากขึ้น
จะพบว่า Disney เริ่มปรับกลยุทธ์เร่งสร้างภาพยนตร์ รวมถึงแอนิเมชัน และซีรีส์ให้มากขึ้น
แล้วทำไมในวันนี้บริษัท Disney ถึงเลือกที่จะกลับไปใช้กลยุทธ์เดิม ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
ภาวะเงินเฟ้อ ตลาดผันผวนแบบนี้ ติดตามข่าวเศรษฐกิจแบบเน้น ๆ จากหลายเพจได้ใน Blockdit - คอนเทนต์แพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานเป็นประจำ 2 ล้านคน ลองใช้ฟรี blockdit.com/download
╚═══════════╝
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2000-2004 Disney ยังคงใช้กลยุทธ์เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งในตลาด ด้วยการเร่งผลิตภาพยนตร์ในปริมาณมาก
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
ภาวะเงินเฟ้อ ตลาดผันผวนแบบนี้ ติดตามข่าวเศรษฐกิจแบบเน้น ๆ จากหลายเพจได้ใน Blockdit - คอนเทนต์แพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานเป็นประจำ 2 ล้านคน ลองใช้ฟรี blockdit.com/download
╚═══════════╝
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2000-2004 Disney ยังคงใช้กลยุทธ์เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งในตลาด ด้วยการเร่งผลิตภาพยนตร์ในปริมาณมาก
โดยช่วงเวลาดังกล่าว Disney มีการผลิตภาพยนตร์อยู่ที่ประมาณ 40-50 เรื่องต่อปี เลยทีเดียว
ในขณะที่คู่แข่งสำคัญอย่างบริษัทผลิตภาพยนตร์ชั้นนำ 7 บริษัท หรือที่เราเรียกกันว่า กลุ่ม BIG7
เช่น Universal Pictures, Paramount Pictures, Warner Bros. มีค่าเฉลี่ยในการผลิตภาพยนตร์ อยู่ที่ประมาณ 30 เรื่องต่อปี
เช่น Universal Pictures, Paramount Pictures, Warner Bros. มีค่าเฉลี่ยในการผลิตภาพยนตร์ อยู่ที่ประมาณ 30 เรื่องต่อปี
แม้ว่า Disney จะสามารถผลิตภาพยนตร์ได้มากกว่าคู่แข่งก็ตาม
แต่ส่วนแบ่งการตลาดของ Disney กลับทำได้เพียง 13.5%
แต่ส่วนแบ่งการตลาดของ Disney กลับทำได้เพียง 13.5%
แต่แล้วเรื่องราวก็เริ่มเปลี่ยนไป เมื่อคุณ Bob Iger ก้าวขึ้นมาเป็นซีอีโอของ Disney ในปี 2005
สิ่งที่คุณ Bob Iger เข้ามาเปลี่ยนแปลงในตอนนั้นคือ ลดจำนวนการผลิตภาพยนตร์
จากเดิมที่เคยผลิตมากถึง 40-50 เรื่อง เหลือเพียง 15 เรื่อง
จากเดิมที่เคยผลิตมากถึง 40-50 เรื่อง เหลือเพียง 15 เรื่อง
โดยมีจุดประสงค์คือ เพื่อให้สามารถโฟกัสในการสร้างภาพยนตร์แต่ละเรื่องได้ดียิ่งขึ้น
หรือพูดง่าย ๆ คือ เน้นไปที่คุณภาพ ไม่ใช่ปริมาณ
หรือพูดง่าย ๆ คือ เน้นไปที่คุณภาพ ไม่ใช่ปริมาณ
นอกจากนี้ เขายังได้ใช้กลยุทธ์ทำการควบรวมกิจการ บริษัทสตูดิโอและแฟรนไชส์ภาพยนตร์มากมาย
ไม่ว่าจะเป็น Pixar, Marvel, Lucasfilm และ 20th Century Studios
ไม่ว่าจะเป็น Pixar, Marvel, Lucasfilm และ 20th Century Studios
ซึ่งเรื่องนี้ ส่งผลให้ส่วนแบ่งการตลาดของ Disney ค่อย ๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
โดยในปี 2019 ส่วนแบ่งการตลาดของ Disney เพิ่มมากขึ้นจนถึงระดับ 35%
เรียกได้ว่า เป็นส่วนแบ่งการตลาดสูงที่สุดของ Disney ในรอบ 20 ปีเลยทีเดียว
เรียกได้ว่า เป็นส่วนแบ่งการตลาดสูงที่สุดของ Disney ในรอบ 20 ปีเลยทีเดียว
แต่เรื่องราวความสำเร็จนี้ ก็ต้องเปลี่ยนไปอีกครั้ง
เมื่อปลายปี 2019 Disney ได้ทำการเปิดให้บริการแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิง เป็นของตัวเองอย่าง Disney+
จากที่แต่ก่อนเคยเป็นพาร์ตเนอร์ กับแพลตฟอร์มที่เราคุ้นเคยกันอย่าง Netflix
จากที่แต่ก่อนเคยเป็นพาร์ตเนอร์ กับแพลตฟอร์มที่เราคุ้นเคยกันอย่าง Netflix
เนื่องจาก Disney มีฐานแฟนคลับจากแฟรนไชส์ภาพยนตร์ระดับตำนาน
ที่ประสบความสำเร็จอย่าง Star Wars, Marvel เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ที่ประสบความสำเร็จอย่าง Star Wars, Marvel เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ทำให้ในช่วงแรก Disney สามารถดึงผู้ใช้งานจำนวนมาก ให้เข้ามาอยู่บน Disney+ ได้อย่างรวดเร็ว
โดยระยะเวลาเพียง 1 ปี มีผู้ใช้งานบน Disney+ มากถึง 87 ล้านราย
โดยระยะเวลาเพียง 1 ปี มีผู้ใช้งานบน Disney+ มากถึง 87 ล้านราย
อย่างไรก็ตาม ก็ต้องบอกว่า ความต่อเนื่องของคอนเทนต์ ถือเป็นอีกหนึ่งในหัวใจสำคัญของแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิง ที่ทำให้ผู้ใช้งานยังคงยอมจ่ายค่าสมัครสมาชิกในทุก ๆ เดือน
ซึ่งการที่ Disney ผลิตภาพยนตร์เพียงปีละ 15 เรื่อง อาจไม่เพียงพอที่จะดึงให้ผู้ใช้งาน อยู่บนแพลตฟอร์มได้ตลอด
พอเรื่องเป็นแบบนี้ นับตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา Disney จึงเริ่มปรับกลยุทธ์ เร่งผลิตคอนเทนต์ภาพยนตร์ รวมถึงแอนิเมชันและซีรีส์ให้มากขึ้น
หากเราลองมาดูจำนวนภาพยนตร์ และแอนิเมชันที่ Disney ผลิตในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จะพบว่า
- ปี 2018 ผลิตภาพยนตร์และแอนิเมชัน 14 เรื่อง
- ปี 2019 ผลิตภาพยนตร์และแอนิเมชัน 35 เรื่อง
- ปี 2020 ผลิตภาพยนตร์และแอนิเมชัน 31 เรื่อง
- ปี 2021 ผลิตภาพยนตร์และแอนิเมชัน 34 เรื่อง
- ปี 2019 ผลิตภาพยนตร์และแอนิเมชัน 35 เรื่อง
- ปี 2020 ผลิตภาพยนตร์และแอนิเมชัน 31 เรื่อง
- ปี 2021 ผลิตภาพยนตร์และแอนิเมชัน 34 เรื่อง
เราจะเห็นได้ว่า ตั้งแต่ปี 2019 Disney ทำการเร่งผลิตคอนเทนต์เพิ่มขึ้น จากช่วงก่อนหน้า มากเป็น 2 เท่าเลยทีเดียว และมาในปี 2022 เพียงระยะเวลา 7 เดือนที่ผ่านมา บริษัทได้ผลิตภาพยนตร์ และแอนิเมชันไปแล้วกว่า 28 เรื่อง
แต่แน่นอนว่า เรื่องราวมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
เมื่อการเร่งผลิตคอนเทนต์เพิ่มขึ้น ทำให้คอนเทนต์ภาพยนตร์ และซีรีส์บางเรื่อง เริ่มมีคุณภาพที่ต่ำลงกว่ามาตรฐานเดิมของ Disney ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา
อย่างภาพยนตร์เรื่อง Black Widow ที่ได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์จากแฟน Marvel เป็นอย่างหนัก
ในเรื่องกราฟิกที่ต่ำกว่ามาตรฐาน หากเทียบกับภาพยนตร์ในจักรวาล Marvel เรื่องก่อน ๆ
ในเรื่องกราฟิกที่ต่ำกว่ามาตรฐาน หากเทียบกับภาพยนตร์ในจักรวาล Marvel เรื่องก่อน ๆ
หรือแม้แต่ซีรีส์เรื่อง Obi-Wan Kenobi ที่ทำเอาเหล่าแฟน ๆ Star Wars ผิดหวังกับบท และการดำเนินเรื่องที่ไม่ราบรื่น และไม่สมเหตุสมผลเท่าที่ควร
ซึ่งหากเราลองมาวิเคราะห์ ความท้าทายที่ Disney กำลังเจอในตอนนี้ ก็จะพบว่า
หากบริษัทเลือกที่จะเน้นผลิตคอนเทนต์ในปริมาณที่มาก โดยไม่คำนึงถึงคุณภาพ
ก็จะส่งผลให้ผลงานที่ออกมา มีคุณภาพโดยเฉลี่ยตกต่ำลงกว่าที่เคยเป็น
ก็จะส่งผลให้ผลงานที่ออกมา มีคุณภาพโดยเฉลี่ยตกต่ำลงกว่าที่เคยเป็น
แต่หากโฟกัสไปที่คุณภาพ
ก็อาจส่งผลให้ความต่อเนื่องของคอนเทนต์ที่ต้องรองรับในแพลตฟอร์ม Disney+ หายไป
ก็อาจส่งผลให้ความต่อเนื่องของคอนเทนต์ที่ต้องรองรับในแพลตฟอร์ม Disney+ หายไป
ซึ่งไม่ว่าจะเลือกทางไหน ก็ย่อมส่งผลกระทบมายังผู้ใช้งานของแพลตฟอร์ม
ลองนึกภาพว่า หากหนังที่เราดูไม่สนุกเหมือนแต่ก่อน หรือไม่มีหนังใหม่ ๆ เข้ามาให้ชม
เราก็คงไม่อยากจ่ายค่าสมัครสมาชิกต่อ
ลองนึกภาพว่า หากหนังที่เราดูไม่สนุกเหมือนแต่ก่อน หรือไม่มีหนังใหม่ ๆ เข้ามาให้ชม
เราก็คงไม่อยากจ่ายค่าสมัครสมาชิกต่อ
ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นกับแค่ Disney เท่านั้น เหล่าคู่แข่งในตลาดวิดีโอสตรีมมิงรายอื่น ๆ อย่างเช่น Netflix เอง ก็กำลังพบกับปัญหานี้เช่นเดียวกัน
ในวันที่การแข่งขันได้เปลี่ยนไป
จากแต่ก่อนที่เน้นการสร้างภาพยนตร์ เพื่อฉายในโรงภาพยนตร์เป็นหลัก ซึ่งบริษัทสามารถโฟกัสไปที่การสร้างภาพยนตร์ที่มีคุณภาพ โดยไม่ต้องคำนึงถึงปริมาณมากนัก
จากแต่ก่อนที่เน้นการสร้างภาพยนตร์ เพื่อฉายในโรงภาพยนตร์เป็นหลัก ซึ่งบริษัทสามารถโฟกัสไปที่การสร้างภาพยนตร์ที่มีคุณภาพ โดยไม่ต้องคำนึงถึงปริมาณมากนัก
แต่ในวันนี้ จากการเกิดขึ้นของแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิง
ทำให้ Disney ต้องเจอกับโจทย์ใหม่ซึ่งก็คือ ปริมาณความต่อเนื่องของคอนเทนต์
ทำให้ Disney ต้องเจอกับโจทย์ใหม่ซึ่งก็คือ ปริมาณความต่อเนื่องของคอนเทนต์
เราคงต้องติดตามกันต่อไปว่า กลยุทธ์ของ Disney จะก้าวพลาด เหมือนที่เคยเป็นก่อนหน้านี้ หรือไม่..
╔═══════════╗
ภาวะเงินเฟ้อ ตลาดผันผวนแบบนี้ ติดตามข่าวเศรษฐกิจแบบเน้น ๆ จากหลายเพจได้ใน Blockdit - คอนเทนต์แพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานเป็นประจำ 2 ล้านคน ลองใช้ฟรี blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
TikTok - tiktok.com/@longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงทุนแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://www.statista.com/statistics/187171/market-share-of-film-studios-in-north-america-2010/
-https://www.statista.com/statistics/243180/leading-box-office-markets-workdwide-by-revenue/
-https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_Walt_Disney_Studios_films_(2010–2019)
-https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_Walt_Disney_Studios_films_(2020–2029)
-https://en.wikipedia.org/wiki/Free_Guy
-https://www.fiercevideo.com/video/disney-has-86-8-million-subscribers-one-year-after-launch
╔═══════════╗
ภาวะเงินเฟ้อ ตลาดผันผวนแบบนี้ ติดตามข่าวเศรษฐกิจแบบเน้น ๆ จากหลายเพจได้ใน Blockdit - คอนเทนต์แพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานเป็นประจำ 2 ล้านคน ลองใช้ฟรี blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
TikTok - tiktok.com/@longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงทุนแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://www.statista.com/statistics/187171/market-share-of-film-studios-in-north-america-2010/
-https://www.statista.com/statistics/243180/leading-box-office-markets-workdwide-by-revenue/
-https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_Walt_Disney_Studios_films_(2010–2019)
-https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_Walt_Disney_Studios_films_(2020–2029)
-https://en.wikipedia.org/wiki/Free_Guy
-https://www.fiercevideo.com/video/disney-has-86-8-million-subscribers-one-year-after-launch