รู้จัก สหไทยการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ ที่กำลังจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ

รู้จัก สหไทยการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ ที่กำลังจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ

รู้จัก สหไทยการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ ที่กำลังจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ
STP x ลงทุนแมน
เมื่อ 50 กว่าปีก่อน บริษัทหนึ่งเริ่มต้นธุรกิจด้วยการผลิตกล่องน้ำหอมและกล่องยา
ก่อนขยายเข้าสู่วงการกล่องรองเท้าผ้าใบที่กำลังเติบโต
แต่ต้องมาเจอฝันร้ายจากวิกฤติต้มยำกุ้ง
ส่งผลให้ธุรกิจรองเท้าที่เป็นลูกค้าหลัก ต่างต้องล้มหายตายจากเป็นจำนวนมาก
แม้จะเจอกับวิกฤติ บริษัทก็ยังคงยืนหยัดมาจนถึงปัจจุบัน
ด้วยการหันมาผลิตกล่องกระดาษบรรจุอาหาร และขยายฐานไปยังกลุ่มผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง
จนมาในวันนี้มีลูกค้ารายใหญ่เป็นบริษัททูน่ากระป๋อง ที่เป็นบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
เรากำลังพูดถึง บริษัท สหไทยการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) หรือ STP
เจ้าของธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษที่กำลังเติบโต และกำลังจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)
ความน่าสนใจของธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษคืออะไร ?
แล้วเราจะได้รับประโยชน์จากการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้อย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
การแพร่กระจายของโรคระบาด คงเป็นฝันร้ายของหลาย ๆ ธุรกิจ
แต่กลับเป็นโอกาสดีของธุรกิจบรรจุภัณฑ์ จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาสั่งซื้อสินค้าออนไลน์กันมากขึ้น
ธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษที่ใช้บรรจุสินค้า และการขนส่งสินค้า จึงเติบโตตามไปด้วย
และแม้ว่าการแพร่กระจายของโรคระบาดจะเริ่มคลี่คลาย
ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ก็ยังคงได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค
ที่จะกลับมาคึกคักเป็นปกติอีกครั้ง
ยังไม่นับรวม ปัจจัยบวกจากเทรนด์การทำธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ที่ทำให้บรรจุภัณฑ์กระดาษ ซึ่งมีคุณสมบัติย่อยสลายง่าย และรีไซเคิลกลับมาใช้ใหม่ได้
ยิ่งได้รับความนิยมมากขึ้น และเข้ามาทดแทนบรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายยากอื่น ๆ มากขึ้น
เท่ากับว่า อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์กระดาษ มีความน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว
เพราะเป็นที่ต้องการของลูกค้าในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม
ซึ่งหนึ่งในบริษัทที่อยู่ในวงการบรรจุภัณฑ์กระดาษมานานกว่า 50 ปี
ก็คือ บริษัท สหไทยการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) หรือ STP
บริษัทนี้ให้บริการตั้งแต่ การพัฒนาและการออกแบบบรรจุภัณฑ์, จัดทำเพลตคุณภาพสูง, พิมพ์งานสูงสุด 12 สี และบริการหลังงานพิมพ์ต่าง ๆ เช่น การเคลือบ UV, การปั้มฟอยล์, ปะกบลูกฟูก, และ ไดคัท
แล้วสงสัยไหมว่า ลูกค้าบรรจุภัณฑ์กระดาษของ STP คือใคร ?
ถ้าสังเกตจากลูกค้าของ STP จะพบว่า ธุรกิจที่ต้องการบรรจุภัณฑ์กระดาษ แบ่งเป็น 4 กลุ่มหลัก คือ
1. ธุรกิจอาหารคนและอาหารสัตว์เลี้ยง
2. ธุรกิจเครื่องดื่ม
3. ธุรกิจเครื่องสำอางและเวชภัณฑ์
4. ธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อการอุปโภคทั่วไป เช่น รองเท้า, สินค้าอิเล็กทรอนิกส์
โดยสัดส่วนลูกค้าหลักกว่า 90% คือกลุ่มธุรกิจอาหาร ซึ่งถือเป็นปัจจัยสี่ที่มีความต้องการต่อเนื่อง และกว่า 80% ในสัดส่วนลูกค้ากลุ่มธุรกิจอาหาร มาจากยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยง
มาดูกันที่ โอกาสของ STP จากภาพรวมอุตสาหกรรมในปัจจุบัน
คนมีลูกน้อยลง และนิยมดูแลสัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อน
โดยเฉพาะโควิดเป็นปัจจัยเร่ง ทำให้คนอยู่บ้านมากขึ้น และส่งผลบวกต่อดีมานด์อาหารสัตว์เลี้ยงเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ภาพรวมยุคหลังโควิด ดีมานด์ก็ไม่ได้หายไปไหน เนื่องจากคนก็ต้องดูแลสัตว์เลี้ยงต่อ
ขณะที่ ลูกค้ากลุ่มเครื่องดื่ม และกลุ่มอื่น ๆ ก็มีความต้องการบรรจุภัณฑ์กระดาษจาก STP เข้ามาเช่นเดียวกัน แต่ด้วยกำลังการผลิตที่ใช้ในระดับเต็มประสิทธิภาพ ทำให้ STP ไม่สามารถรองรับออเดอร์จากลูกค้าบางส่วนได้
แล้วอะไรคือ จุดแข็ง ของสหไทยการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ ?
ด้วยความที่มีฐานลูกค้าที่ใช้บริการมายาวนาน มีคำสั่งซื้อบรรจุภัณฑ์กระดาษอย่างต่อเนื่อง
และลูกค้าหลักหลาย ๆ บริษัท ก็ยังเป็นบริษัทมหาชน ที่มีแบรนด์สินค้าเป็นที่รู้จักกันดี
ความน่าสนใจก็คือ ลูกค้ากลุ่มนี้ มักจะไม่เปลี่ยนผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษ
เพราะด้วยความเชื่อมั่นในประสบการณ์ และผลงานที่มีคุณภาพ
ตลอดจนการให้บริการแบบ One Stop Service
รวมทั้ง การรักษาแบบพิมพ์ของตนให้สวยงาม สม่ำเสมอ
ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยสนับสนุนแบรนด์ให้ลูกค้าอีกทางหนึ่ง
ดังนั้น ก่อนที่บรรจุภัณฑ์กระดาษจะถูกผลิตออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ
“กระบวนการทำงาน” จึงต้องอาศัยความเป็นมืออาชีพ
เช่น การแนะนำประเภทกระดาษ และความหนาของกระดาษ ที่เหมาะสมกับสินค้า
ผ่านการคำนวณที่เรียกว่า Box Compression Test และ Bursting Strength
ทำให้ลูกค้าสามารถเลือกใช้กระดาษได้อย่างเหมาะสม และเกิดความคุ้มค่าสูงสุด
ปัจจุบัน สัดส่วนลูกค้า 90% เป็นกลุ่มผู้ผลิตอาหารคน และอาหารสัตว์
ซึ่งล้วนอยู่ในอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโต
ทีนี้ ถ้ามาดูผลประกอบการที่ผ่านมาของ สหไทยการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ จะพบว่า
ปี 2562 รายได้รวม 383 ล้านบาท กำไรสุทธิ 59 ล้านบาท
ปี 2563 รายได้รวม 455 ล้านบาท กำไรสุทธิ 95 ล้านบาท
ปี 2564 รายได้รวม 580 ล้านบาท กำไรสุทธิ 124 ล้านบาท
จะเห็นได้ว่า รายได้รวมและกำไรสุทธิของ สหไทยการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ กำลังเติบโต
ที่สำคัญคือ สหไทยการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ ยังได้รับประโยชน์จากการประหยัดขนาดที่เรียกว่า Economies of Scale
ทำให้ต้นทุนและค่าใช้จ่ายบางส่วน กลายเป็นต้นทุนและค่าใช้จ่ายคงที่
ซึ่งจะไม่ผันแปรตามรายได้ที่เติบโตในอนาคต
แล้วถ้าถามว่าเป้าหมายต่อไปของ สหไทยการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ คืออะไร
คำตอบก็คือ การสร้างอัตราการเติบโตเฉลี่ย 5-15% ต่อปี
เพื่อก้าวไปสู่รายได้ 750 ล้านบาทต่อปี ภายใน 5 ปีข้างหน้า นับเป็นการตั้งเป้าหมายแบบ conservative
สหไทยการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ จึงเดินหน้าจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)
เพื่อนำทุนไปสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจใน 2 วัตถุประสงค์ คือ
1. ใช้ในการลงทุน เพื่อขยายโรงงานและเครื่องจักร ภายในไตรมาส 4 ปี 2565
2. ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน และการดำเนินการอื่น ๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อกิจการ
ถึงตรงนี้ ก็นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของ สหไทยการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ เลยทีเดียว..

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

SPONSORED
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon