สรุปธุรกิจ ฟาร์มจระเข้ในไทย ที่เลี้ยงจระเข้เป็น 1,000,000 ตัว

สรุปธุรกิจ ฟาร์มจระเข้ในไทย ที่เลี้ยงจระเข้เป็น 1,000,000 ตัว

สรุปธุรกิจ ฟาร์มจระเข้ในไทย ที่เลี้ยงจระเข้เป็น 1,000,000 ตัว /โดย ลงทุนแมน
รู้หรือไม่ว่าประเทศไทย ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่เลี้ยงจระเข้เพื่อส่งออกสูงสุดในโลก
โดยมีจระเข้ไม่ต่ำกว่า 1,000,000 ตัว และมีฟาร์มมากกว่า 1,000 แห่ง
สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทย ปีละเป็นพันล้านบาท
แล้วอุตสาหกรรมฟาร์มจระเข้ในบ้านเรา มีหน้าตาเป็นอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 2 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
จุดเริ่มต้นของการทำฟาร์มเลี้ยงจระเข้ในประเทศไทยนั้น เกิดขึ้นในปี 2489
โดยคุณอุทัย ยังประภากร ผู้ก่อตั้งฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการ
เขาคนนี้ เรียกได้ว่าเป็นผู้บุกเบิกการเพาะเลี้ยงจระเข้ในบ้านเรา
โดยในช่วงแรกยังเป็นการเพาะเลี้ยงเพื่อการค้าและการท่องเที่ยวเท่านั้น
แต่ต่อมามีการพัฒนาเป็นอุตสาหกรรมอย่างจริงจัง และครบวงจรมากขึ้น
โดยฟาร์มรายใหญ่จะมีการเพาะลูกจระเข้ และส่งให้ฟาร์มรายย่อยรับเลี้ยงต่อ
เพื่อทำหน้าที่ในการขุนจระเข้ให้โตเต็มที่ เหมาะแก่การนำไปใช้งานต่อ
หลังจากนั้น ฟาร์มใหญ่ก็จะรับซื้อคืน หรือไม่ก็ขายให้โรงงานชำแหละแยกชิ้นส่วน
สำหรับจำหน่าย และแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ
หนึ่งในวัตถุดิบ ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในตลาดโลกคือ “หนังจระเข้”
ที่นำไปใช้ผลิตเครื่องหนัง โดยเฉพาะแบรนด์หรูราคาแพง
ทำให้หนังจระเข้ มีราคาเพิ่มสูงขึ้น ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
พอเรื่องเป็นแบบนี้ จึงทำให้เกษตรกรหลายคน เริ่มสนใจหันมาเลี้ยงจระเข้กันมากขึ้น
จนกลายเป็นอุตสาหกรรมฟาร์มจระเข้ในไทยเช่นทุกวันนี้
ปกติแล้ว จระเข้ที่นำมาเลี้ยงเป็นสัตว์เศรษฐกิจของไทยนั้น มี 2 ชนิด ได้แก่
- จระเข้น้ำจืด หรือ จระเข้พันธุ์ไทย
- จระเข้น้ำเค็ม หรือ จระเข้ตีนเป็ด
อย่างไรก็ตาม ในไทยส่วนใหญ่นิยมเลี้ยงจระเข้น้ำจืด มากกว่าจระเข้น้ำเค็ม
โดยเหตุผลที่เป็นจระเข้น้ำจืด ก็เพราะความสามารถในการเจริญพันธุ์ที่รวดเร็วกว่า
ทีนี้ พอเราพูดถึงฟาร์มจระเข้แล้ว
เพื่อที่จะได้เข้าใจอุตสาหกรรมนี้กันมากขึ้น
เรามาดูกันว่าฟาร์มจระเข้ในประเทศไทย มีกี่ประเภท
เริ่มต้นที่ฟาร์มจระเข้ ที่เกษตรกรส่วนใหญ่นิยม นั่นคือ “ฟาร์มจระเข้ขุน”
ฟาร์มจระเข้ขุน เป็นฟาร์มที่ใช้สำหรับเลี้ยงลูกจระเข้ ที่มีอายุประมาณ 2 ถึง 3 เดือน
จนกว่าจะได้ขนาดตามที่ตกลงไว้กับฟาร์มที่เรารับซื้อลูกจระเข้มา เพื่อทำการขายคืน
ข้อดีของการทำฟาร์มลักษณะนี้ คือดูแลไม่ยาก และใช้เงินทุนน้อยกว่าฟาร์มประเภทอื่น
เนื่องจากจระเข้ช่วงอายุเท่านี้ มีความแข็งแรง และสามารถกินอาหารเองได้แล้ว
เรายังสามารถใช้ซากสัตว์ เป็นอาหารให้แก่จระเข้ได้เลย
เรื่องนี้จึงทำให้ฟาร์มหลายแห่ง รับกำจัดซากสัตว์จากปศุสัตว์ด้วย
ซึ่งถือเป็นการได้ประโยชน์ 2 ต่อ
ต่อแรกก็คือ มีต้นทุนอาหารที่ลดลง
ต่อที่สองก็คือ นับเป็นการสร้างรายได้เพิ่มอีกช่องทางหนึ่ง
ส่วนปศุสัตว์ก็ได้ประโยชน์ จากการมีคนช่วยทำลายซากสัตว์ที่เสียชีวิตลง
อีกอย่าง ฟาร์มจระเข้ขุนไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูง หรือความเชี่ยวชาญใด ๆ ในการเลี้ยงเลย ต้นทุนจึงค่อนข้างต่ำ จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมผู้ประกอบการรายย่อยส่วนใหญ่ จึงนิยมทำฟาร์มในลักษณะนี้
ต่อมา ก็จะเป็นประเภทฟาร์มจระเข้ ที่ผู้ประกอบการรายใหญ่ขึ้นมาเลือกทำ
เริ่มกันที่ “ฟาร์มจระเข้เพาะพันธุ์” เป็นฟาร์มที่ใช้สำหรับเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ เพื่อเพาะขายตัวลูก
ความยุ่งยากคือต้องใช้เงินทุนสูง และใช้ความเชี่ยวชาญพอสมควร
หากเริ่มเลี้ยงตั้งแต่ลูกจระเข้แรกเกิด ต้องใช้เวลานานถึง 10 ปี กว่าจะเริ่มโตเป็นพ่อแม่พันธุ์ได้
ขณะที่หากซื้อจระเข้พ่อแม่พันธุ์ ก็จะมีราคาที่สูง โดยคู่หนึ่งไม่ต่ำกว่า 100,000 บาท
ส่วนของบ่อเพาะพันธุ์ ก็ต้องมีขนาดที่ใหญ่ เพราะไม่สามารถเลี้ยงให้หนาแน่นเหมือนกับจระเข้ขุนได้
เวลาในการคืนทุนก็จะยาวนานกว่า เพราะจระเข้วางไข่ปีละ 1 ครั้งเท่านั้น ครั้งละ 30 ใบต่อพ่อแม่พันธุ์ 1 คู่ และยังมีโอกาสที่ไข่นั้นจะมีเชื้อหรือไม่มีเชื้อก็ได้
ซึ่งอัตราการฟักตัว และอัตราการรอดตัวของลูกจระเข้ ก็ขึ้นอยู่กับความชำนาญของผู้เลี้ยงอีก
จากความยุ่งยากที่พูดมา ดังนั้น คนที่จะทำฟาร์มจระเข้เพาะพันธุ์ จำเป็นต้องมีเงินทุนพอหมุนเวียนได้ในระยะยาว และต้องอยู่ในอุตสาหกรรมมาระดับหนึ่งแล้ว ถึงจะสามารถทำธุรกิจรอด
ต่อมาคือ “ฟาร์มจระเข้แบบครบวงจร”
เหมือนกับ 2 ฟาร์มก่อนหน้านี้รวมกัน คือมีพ่อแม่พันธุ์สำหรับเพาะลูก และมีการขุนลูก
แต่ก็จะมีส่วนเสริมอีกอย่าง ตรงที่มีส่วนของฝ่ายผลิตผลิตภัณฑ์ด้วย
เช่น โรงงานฟอกหนัง หรือโรงงานผลิตหนังจระเข้
อย่างไรก็ดี ฟาร์มบางแห่งอาจส่งลูกจระเข้ ให้เกษตรกรเลี้ยงต่อก็ได้ โดยการใช้เทคโนโลยีและเงื่อนไขที่กำหนด ซึ่งเมื่อได้ขนาดตามที่ต้องการ ฟาร์มก็จะรับซื้อคืนทันที
และสุดท้าย คงเป็นฟาร์มที่เราน่าจะคุ้นเคยมากที่สุด
เพราะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในวัยเด็กของใครหลายคน
นั่นคือ “ฟาร์มจระเข้เพื่อการท่องเที่ยว”
โดยฟาร์มลักษณะนี้ จะมีจระเข้หลากหลายขนาด แต่มีจำนวนที่ไม่เยอะ
เพราะมีแค่ให้พอคนชมเท่านั้น เงินทุนส่วนใหญ่จึงถูกใช้ไปกับการตกแต่งสถานที่มากกว่า
ฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการ ก็ถือเป็นหนึ่งในฟาร์มจระเข้เพื่อการท่องเที่ยวเช่นกัน
หลังจากรู้จักประเภทของฟาร์มกันแล้ว
เรามาดูผลผลิตจากอุตสาหกรรมฟาร์มจระเข้กัน
สำหรับจระเข้มีชีวิต จะถูกแบ่งเป็น
- ลูกพันธุ์
- จระเข้รุ่น หรือจระเข้ที่เหมาะแก่การเชือด
- พ่อแม่พันธุ์
สำหรับจระเข้ที่ถูกเชือด ก็ต้องบอกว่า ทุกชิ้นส่วนของจระเข้ สามารถนำมาขายได้ทั้งหมดเลย
เริ่มจากส่วนเนื้อ จะแบ่งออกเป็น
1. ขายซาก โดยเอาเฉพาะเครื่องในและหนังออกเท่านั้น
2. ขายเนื้อสดแช่แข็ง ชำแหละเป็นส่วน ๆ
3. ขายเนื้ออบแห้ง
ส่วนของหนังจระเข้ นิยมขายเป็นหนังดิบแช่เกลือ ส่งไปยังโรงฟอกหนัง
โดยหนังแผ่นท้อง จะมีราคาสูงกว่าหนังแผ่นหลัง เพราะมีสีสันสวยงามกว่า
กระดูกและฟัน มีการนำไปบดเป็นส่วนผสมของยากวาดคอเด็ก หรือทำเป็นเครื่องประดับ
เลือดและเครื่องในของจระเข้ก็มีการขายเช่นกัน เพราะมีคนนำไปใช้เป็นส่วนประกอบสำหรับทำยาแผนโบราณและยาจีน
จากที่เล่ามาทั้งหมดนี้เห็นได้เลยว่า จระเข้เป็นสัตว์ที่สามารถใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ตั้งแต่ทำเป็นฟาร์มเพื่อความบันเทิง ไปจนถึงการนำหนังไปทำสินค้า หรือแม้กระทั่งยาโบราณ
แล้วปัจจุบัน สถานการณ์อุตสาหกรรมฟาร์มจระเข้ เป็นอย่างไร ?
แม้ว่าก่อนสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ในปี 2561 และปี 2562
ประเทศไทยส่งออกสินค้าจระเข้ เป็นมูลค่ารวมมากถึง 7,000 ล้านบาท เฉลี่ยรายได้ปีละราว 3,500 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ในปี 2563 มูลค่าการส่งออกกลับเหลือเพียง 785 ล้านบาท เพราะติดปัญหาเรื่องโรคระบาดโควิด 19
ทำให้จระเข้ที่อยู่ในช่วงเหมาะแก่การแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์กว่า 600,000 ตัว ไม่สามารถจำหน่ายและแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้
ซึ่งเมื่อดูจากตัวเลขแล้ว ก็นับว่าเป็นการถดถอยอย่างหนัก สำหรับอุตสาหกรรมสินค้าจระเข้
ในระยะหลัง ยังต้องเผชิญกับกระแสที่ผู้คนหลายประเทศ เริ่มหันมาเลิกใช้สินค้าที่ทำจากหนังสัตว์
ก็ถือเป็นอีกเรื่องที่น่าติดตามเหมือนกันว่า อุตสาหกรรมฟาร์มจระเข้ในบ้านเรา จะเป็นอย่างไรต่อไป และประเทศไทย จะยังคงรักษาความเป็นผู้นำ ในอุตสาหกรรมฟาร์มจระเข้ในโลกนี้ต่อไป ได้หรือไม่..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 2 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-http://biodiversity.forest.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=191:2011-11-24-07-00-42&catid=25:the-project&Itemid=6
-https://www.bbc.com/thai/international-40461789
-http://www.bc.msu.ac.th/project_file/chapter2(615).pdf
-https://www.fisheries.go.th/management/crocodile.htm
-https://www.crocodilethai.com/page/17
-https://www.bangkokbiznews.com/business/974964
-https://www.prachachat.net/economy/news-713903
-http://www.nicaonline.com/web/index.php/2016-08-30-02-19-31/2016-08-30-14-15-11/639-crocodile
-https://www.fisheries.go.th/if-nakhonsawan/ccd/ccd_farming.htm

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon