
แจก 4 วิธี ช่วยคัดกรองหุ้น ท่ามกลางหุ้นหลาย 1,000 ตัว ในตลาด
แจก 4 วิธี ช่วยคัดกรองหุ้น ท่ามกลางหุ้นหลาย 1,000 ตัว ในตลาด /โดย ลงทุนแมน
ตลาดหุ้นไทย มีบริษัทจดทะเบียนมากกว่า 900 แห่ง
ตลาดหุ้นฮ่องกง มีมากกว่า 2,300 แห่ง
ตลาดหุ้นจีน มีมากกว่า 5,000 แห่ง
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีมากกว่า 5,000 แห่ง
ตลาดหุ้นไทย มีบริษัทจดทะเบียนมากกว่า 900 แห่ง
ตลาดหุ้นฮ่องกง มีมากกว่า 2,300 แห่ง
ตลาดหุ้นจีน มีมากกว่า 5,000 แห่ง
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีมากกว่า 5,000 แห่ง
ตลาดหุ้น เต็มไปด้วยหุ้นจำนวนมากมาย หลายร้อย หลายพันตัว ที่นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้
แต่การมีหุ้นจำนวนมหาศาล ก็เป็นความยากของนักลงทุน เพราะคงไม่มีใครมีเวลามากพอที่จะสามารถศึกษาหุ้นทุกตัวได้
แต่ถึงจะมี การวิเคราะห์หุ้นทุกตัว ก็เป็นวิธีที่ไม่มีประสิทธิภาพ
แต่ถึงจะมี การวิเคราะห์หุ้นทุกตัว ก็เป็นวิธีที่ไม่มีประสิทธิภาพ
ซึ่งยิ่งเป็นเรื่องท้าทายเข้าไปอีก ในการค้นหาหุ้นผู้ชนะ ที่มีธุรกิจแข็งแกร่ง จนสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนได้ในระยะยาว
เพราะหุ้นผู้ชนะ มีเพียงแค่หยิบมือเท่านั้น..
เพราะหุ้นผู้ชนะ มีเพียงแค่หยิบมือเท่านั้น..
ซึ่งถ้านักลงทุน มีเครื่องมือหรือแนวทางที่เป็นระบบ มาช่วยแยกแยะเบื้องต้นว่า หุ้นตัวไหนมีศักยภาพ
ก็อาจจะทำให้เราคัดกรองหุ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ก็อาจจะทำให้เราคัดกรองหุ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
บทความนี้ ได้รวม 4 Framework ที่มีชื่อเสียง สำหรับใช้คัดกรองหุ้นเบื้องต้น
โดยแต่ละ Framework จะเหมาะกับการใช้หาหุ้นแต่ละประเภท
โดยแต่ละ Framework จะเหมาะกับการใช้หาหุ้นแต่ละประเภท
1. CANSLIM - สำหรับหุ้นเติบโต
2. Piotroski F-Score - สำหรับหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง
3. Magic Formula - สำหรับหุ้นคุณค่า
4. Dividend Growth Model - สำหรับหุ้นปันผล
2. Piotroski F-Score - สำหรับหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง
3. Magic Formula - สำหรับหุ้นคุณค่า
4. Dividend Growth Model - สำหรับหุ้นปันผล
1. CANSLIM : คัดกรองหุ้นเติบโต (Growth Stock)
CANSLIM เป็นกลยุทธ์ที่พัฒนาโดย William O’Neil ผู้ก่อตั้ง Investor’s Business Daily โดยใช้ข้อมูลพื้นฐานและทางเทคนิค เพื่อค้นหาหุ้นที่มีแนวโน้มเติบโตสูง และเป็นผู้นำตลาด
CANSLIM เป็นอักษรย่อที่ประกอบไปด้วย 7 ปัจจัย
C (Current Quarterly Earnings) > กำไรต่อหุ้น (EPS) ไตรมาสล่าสุด ควรเติบโตมากกว่า 25% YoY
โดยกำไรที่มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นในไตรมาสล่าสุด ถือเป็นสัญญาณบวกที่บ่งบอกถึงแนวโน้มการเติบโตของบริษัท
โดยกำไรที่มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นในไตรมาสล่าสุด ถือเป็นสัญญาณบวกที่บ่งบอกถึงแนวโน้มการเติบโตของบริษัท
A (Annual Earnings Growth) > กำไรสุทธิประจำปี ควรเติบโตขึ้นอย่างน้อย 25% ต่อเนื่องอย่างน้อย 3 ปี
อีกทั้งอัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ควรอยู่ที่ 17% หรือมากกว่า
อีกทั้งอัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ควรอยู่ที่ 17% หรือมากกว่า
N (New Product or Service) > บริษัทมีการพัฒนาและสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง หรือมีโมเดลธุรกิจใหม่
S (Supply & Demand) > หุ้นมี Volume การซื้อขายสูงขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น หากมีปริมาณการซื้อขายสูง อาจเป็นสัญญาณว่า หุ้นกำลังได้รับความสนใจจากนักลงทุน
S (Supply & Demand) > หุ้นมี Volume การซื้อขายสูงขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น หากมีปริมาณการซื้อขายสูง อาจเป็นสัญญาณว่า หุ้นกำลังได้รับความสนใจจากนักลงทุน
L (Leader or Laggard ?) > หุ้นเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม หรือมีส่วนแบ่งการตลาดสูงในอุตสาหกรรมนั้น ๆ
I (Institutional Sponsorship) > มีนักลงทุนสถาบัน เช่น กองทุนรวม หรือสถาบันการเงินขนาดใหญ่ เข้าลงทุน โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสล่าสุด เป็นสัญญาณที่อาจบอกได้ว่า หุ้นตัวนั้น ๆ มีความสามารถในการดำเนินธุรกิจระยะยาว
M (Market Direction) > ควรที่จะลงทุนในช่วงที่แนวโน้มตลาดโดยรวม อยู่ในช่วงขาขึ้น และหลีกเลี่ยงการลงทุนในช่วงตลาดขาลง
2. Piotroski F-Score : คัดกรองหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง
Piotroski F-Score ถูกคิดค้นโดย Joseph Piotroski ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยชิคาโก เพื่อช่วยนักลงทุนวิเคราะห์หุ้นพื้นฐานที่แข็งแกร่งผ่าน 9 ปัจจัยจากงบการเงิน ด้วยการให้คะแนนแต่ละข้อ ถ้าข้อไหนผ่านเกณฑ์ ก็จะได้ 1 คะแนน ถ้าไม่ผ่านให้ 0 คะแนน
ซึ่งหากหุ้นได้ 7-9 คะแนน แสดงว่ามีพื้นฐานดี
ซึ่งหากหุ้นได้ 7-9 คะแนน แสดงว่ามีพื้นฐานดี
เกณฑ์ความสามารถในการทำกำไร (Profitability)
- อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (ROA) เป็นบวก ในปีปัจจุบัน
- ROA สูงขึ้นจากปีก่อน
- กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (CFO) เป็นบวก ในปีปัจจุบัน
- อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (ROA) เป็นบวก ในปีปัจจุบัน
- ROA สูงขึ้นจากปีก่อน
- กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (CFO) เป็นบวก ในปีปัจจุบัน
เกณฑ์หนี้สิน สภาพคล่อง และแหล่งเงินทุน
- อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ลดลงจากปีก่อน
- อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน (Current Ratio) สูงขึ้นจากปีก่อน
- ไม่มีการเพิ่มทุน หรือไม่มีการออกหุ้นใหม่ ในปีที่ผ่านมา
- อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ลดลงจากปีก่อน
- อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน (Current Ratio) สูงขึ้นจากปีก่อน
- ไม่มีการเพิ่มทุน หรือไม่มีการออกหุ้นใหม่ ในปีที่ผ่านมา
เกณฑ์ประสิทธิภาพการดำเนินงาน
- อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) สูงขึ้นจากปีก่อน
- อัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์ (Asset Turnover) เพิ่มขึ้นจากปีก่อน
- อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) สูงขึ้นจากปีก่อน
- อัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์ (Asset Turnover) เพิ่มขึ้นจากปีก่อน
ซึ่ง Piotroski F-Score จะใช้เพื่อช่วยคัดกรองหุ้นที่มีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง และช่วยนักลงทุนหลีกเลี่ยงหุ้นที่มีปัญหาทางการเงิน
3. Magic Formula : คัดกรองหุ้นคุณค่า (Value Stock)
Magic Formula ถูกคิดค้นโดย Joel Greenblatt นักลงทุนชื่อดัง และผู้เขียนหนังสือ The Little Book That Still Beats the Market
ใช้เพื่อตรวจหาหุ้นที่มีคุณภาพดีและราคาถูก โดยใช้ 2 ปัจจัยหลัก คือ อัตราส่วนผลตอบแทนของเงินลงทุน (ROIC) และอัตราผลตอบแทนจากกำไร (Earnings Yield)
ROIC สูง > สามารถสร้างผลตอบแทนจากเงินลงทุนได้ดี
สูตรคำนวณ ROIC = EBIT / (สินทรัพย์ถาวรสุทธิ + เงินทุนหมุนเวียน)
สูตรคำนวณ ROIC = EBIT / (สินทรัพย์ถาวรสุทธิ + เงินทุนหมุนเวียน)
Earnings Yield สูง > หุ้นที่มีราคาถูกเมื่อเทียบกับกำไร
สูตรคำนวณ Earnings Yield = EBIT / Enterprise Value
สูตรคำนวณ Earnings Yield = EBIT / Enterprise Value
โดย Enterprise Value หาได้จาก มูลค่าตลาด (Market Capitalization) + หนี้สินรวม - เงินสดรวม
สำหรับขั้นตอนการใช้ Magic Formula ในการลงทุน มีลำดับตามนี้
- กำหนดมูลค่าตลาดขั้นต่ำของหุ้นที่ต้องการลงทุน เช่น Market Capitalization มากกว่า 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- คัดกรองหุ้นที่ไม่ต้องการลงทุน เช่น ตัดหุ้นสาธารณูปโภค และกลุ่มการเงิน ออกจากรายการ
- คำนวณ Earnings Yield และ ROIC
- จัดอันดับบริษัทที่ผ่านเกณฑ์ โดยเรียงลำดับ Earnings Yield และ ROIC จากสูงไปต่ำ (หุ้นที่ได้อันดับ 1 คือหุ้นที่มีค่าสูงที่สุด)
- คัดกรองหุ้นที่ไม่ต้องการลงทุน เช่น ตัดหุ้นสาธารณูปโภค และกลุ่มการเงิน ออกจากรายการ
- คำนวณ Earnings Yield และ ROIC
- จัดอันดับบริษัทที่ผ่านเกณฑ์ โดยเรียงลำดับ Earnings Yield และ ROIC จากสูงไปต่ำ (หุ้นที่ได้อันดับ 1 คือหุ้นที่มีค่าสูงที่สุด)
- รวมลำดับของทั้งสองเกณฑ์เข้าด้วยกัน และเรียงลำดับหุ้นจากค่าน้อยไปหามาก (ยิ่งคะแนนรวมต่ำ ยิ่งดี)
- เลือกหุ้น 20-30 ตัว ที่ได้คะแนนสูงสุด
- จัดสรรเงินลงทุนให้แต่ละหุ้นเท่า ๆ กัน
- มีวินัยปรับพอร์ตทุกปี (ขายหุ้นที่ไม่ได้อยู่ในอันดับสูงแล้ว และซื้อหุ้นใหม่ที่เข้าเกณฑ์)
- เลือกหุ้น 20-30 ตัว ที่ได้คะแนนสูงสุด
- จัดสรรเงินลงทุนให้แต่ละหุ้นเท่า ๆ กัน
- มีวินัยปรับพอร์ตทุกปี (ขายหุ้นที่ไม่ได้อยู่ในอันดับสูงแล้ว และซื้อหุ้นใหม่ที่เข้าเกณฑ์)
จุดเด่นของ Magic Formula คือเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ข้อมูลเชิงตัวเลข ไม่มีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง
แต่มีจุดอ่อนคือ อาจไม่ได้ผลดีในช่วงเวลาสั้น ๆ และไม่สามารถใช้ได้กับหุ้นทุกประเภท เช่น หุ้นเติบโต หรือหุ้นเทคโนโลยีที่กำลังขาดทุน
แต่มีจุดอ่อนคือ อาจไม่ได้ผลดีในช่วงเวลาสั้น ๆ และไม่สามารถใช้ได้กับหุ้นทุกประเภท เช่น หุ้นเติบโต หรือหุ้นเทคโนโลยีที่กำลังขาดทุน
4. Dividend Growth Model (DGM) : คัดกรองหุ้นปันผล
Dividend Growth Model ถูกพัฒนาจากแนวคิดของ Gordon Growth Model ซึ่งใช้คำนวณมูลค่าหุ้น จากการเติบโตของเงินปันผล
สูตรของ Gordon Growth Model คือ
ราคาหุ้น = เงินปันผลที่คาดว่าจะได้รับในปีหน้า / (อัตราผลตอบแทนที่นักลงทุนต้องการ - อัตราการเติบโตของเงินปันผล)
ราคาหุ้น = เงินปันผลที่คาดว่าจะได้รับในปีหน้า / (อัตราผลตอบแทนที่นักลงทุนต้องการ - อัตราการเติบโตของเงินปันผล)
ส่วนแนวคิด Dividend Growth Model มองว่า หุ้นปันผลที่ดี ควรมีปัจจัยเหล่านี้
- อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ควรสูงกว่า อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาล
- อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ควรสูงกว่า อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาล
- อัตราส่วนการจ่ายปันผล (Dividend Payout Ratio) ไม่ควรสูงเกินไป เช่น ต่ำกว่า 60%
เพราะถ้าสูงเกินไป หมายความว่าบริษัทจ่ายปันผลมากเกินไป และอาจไม่มีเงินเหลือสำหรับการลงทุนขยายธุรกิจ
เพราะถ้าสูงเกินไป หมายความว่าบริษัทจ่ายปันผลมากเกินไป และอาจไม่มีเงินเหลือสำหรับการลงทุนขยายธุรกิจ
- อัตราการเติบโตของเงินปันผล (Dividend Growth Rate) เงินปันผลควรเติบโตเฉลี่ย 5-10% ต่อปี
- กระแสเงินสดอิสระ (FCF) ควรเป็นบวก เพราะบ่งชี้ว่า บริษัทสามารถจ่ายเงินปันผลได้จริง โดยไม่ต้องกู้ยืมเงิน หรือใช้เงินสดสำรองมากเกินไป
- D/E Ratio ไม่ควรสูงเกินไป
เช่น ควรต่ำกว่า 1.0 สำหรับบริษัทขนาดใหญ่ เพราะหากบริษัทมีหนี้สินสูงเกินไป อาจมีปัญหาในการจ่ายปันผลในระยะยาว
เช่น ควรต่ำกว่า 1.0 สำหรับบริษัทขนาดใหญ่ เพราะหากบริษัทมีหนี้สินสูงเกินไป อาจมีปัญหาในการจ่ายปันผลในระยะยาว
สรุปแล้ว Dividend Growth Model เหมาะกับนักลงทุน ที่ต้องการคัดกรองหาหุ้น ที่มีแนวโน้มจ่ายปันผลสม่ำเสมอ
อย่างไรก็ดี แนวคิดนี้จะไม่เหมาะกับหุ้นเติบโต เช่น หุ้นเทคโนโลยี ที่ไม่จ่ายปันผล หรือหุ้นวัฏจักร ที่จ่ายปันผลไม่สม่ำเสมอ
อีกทั้ง วิธีนี้ก็มีข้อจำกัดเช่นเดียวกับวิธีอื่น ๆ ที่กล่าวมาทั้งหมด
เพราะทุกวิธี ทุกแนวคิด จะมีข้อดี ข้อเสียในตัวเอง
เพราะทุกวิธี ทุกแนวคิด จะมีข้อดี ข้อเสียในตัวเอง
ดังนั้นในฐานะนักลงทุน ต้องใช้วิธีคัดกรองหุ้น ร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยอื่น ๆ ด้วย ทั้งเชิงคุณภาพ และเชิงปริมาณ เพื่อให้หุ้นที่เราจะเลือกเข้ามาในพอร์ต เป็นหุ้นที่มีศักยภาพ สร้างผลตอบแทนตอบโจทย์เรามากที่สุด
แต่ใครที่อยากรู้จัก กลยุทธ์ตามหาและคัดกรองหุ้น มากกว่านี้
หรืออยากรู้ว่า นักลงทุนชั้นแนวหน้า ที่มีประสบการณ์การลงทุนมามากมาย
พวกเขามีวิธีคัดกรองหุ้น นับร้อย นับพันตัวในตลาดหุ้น อย่างไร ?
หรืออยากรู้ว่า นักลงทุนชั้นแนวหน้า ที่มีประสบการณ์การลงทุนมามากมาย
พวกเขามีวิธีคัดกรองหุ้น นับร้อย นับพันตัวในตลาดหุ้น อย่างไร ?
คุณมานะชัย ตันติกาญจนากุล, นักลงทุนเน้นคุณค่า
และคุณวีระพงษ์ ธัม, นักลงทุนเน้นคุณค่า
และคุณวีระพงษ์ ธัม, นักลงทุนเน้นคุณค่า
จะมาร่วมให้คำตอบ ที่งาน “BEAT THE MARKET” ตามล่าหาโอกาส ผลตอบแทนเหนือตลาด
ในหัวข้อ “Alpha Stock Screening กลยุทธ์ตามล่ากลุ่มหุ้น ผลตอบแทนเหนือตลาด”
https://www.zipeventapp.com/e/BEAT-THE-MARKET-2025
ในหัวข้อ “Alpha Stock Screening กลยุทธ์ตามล่ากลุ่มหุ้น ผลตอบแทนเหนือตลาด”
https://www.zipeventapp.com/e/BEAT-THE-MARKET-2025
งานที่รวบรวมนักลงทุน และผู้เชี่ยวชาญชั้นนำในประเทศไทย มาแชร์แก่นแนวคิด วิธีพิชิตผลตอบแทนเหนือตลาด โดย Sessions ในงาน จะครอบคลุมตั้งแต่



- Alpha Stock Screening
กลยุทธ์ตามล่ากลุ่มหุ้น ผลตอบแทนเหนือตลาด
กลยุทธ์ตามล่ากลุ่มหุ้น ผลตอบแทนเหนือตลาด
- 10X Mastery
หลักการลงทุน พิชิตหุ้น 10 เด้ง
หลักการลงทุน พิชิตหุ้น 10 เด้ง
- The Master of Risk Management
ศาสตร์แห่งการบริหารความเสี่ยง
ศาสตร์แห่งการบริหารความเสี่ยง
- Independent Mind
คิดอย่างไร ให้ชนะตลาด
คิดอย่างไร ให้ชนะตลาด
- “MAGNIFICENT 7 vs TERRIFIC 10”
วิเคราะห์ กลุ่มหุ้นผู้ชนะของโลก 7 นางฟ้า vs ทศเทพ
วิเคราะห์ กลุ่มหุ้นผู้ชนะของโลก 7 นางฟ้า vs ทศเทพ
นอกจากนั้น ในงานก็จะมีการหยิบหุ้น Top Picks มาพูดคุย และปิดท้ายด้วยตะกอนความคิด จากนักลงทุนรุ่นใหญ่
ตัวอย่างรายชื่อวิทยากรในงาน BEAT THE MARKET
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร, นักลงทุนเน้นคุณค่า
คุณวิบูลย์ พึงประเสริฐ, นักลงทุนเน้นคุณค่า
คุณทิวา ชินธาดาพงศ์, นักลงทุนเน้นคุณค่า
คุณเฉลิมเดช ลีวงศ์เจริญ, นักลงทุนเน้นคุณค่า
คุณมานะชัย ตันติกาญจนากุล, นักลงทุนเน้นคุณค่า
คุณวีระพงษ์ ธัม, นักลงทุนเน้นคุณค่า
คุณยศพนธ์ สุธารัตนชัยพร, CFA, นักลงทุนเน้นคุณค่า
คุณชนาเมธ เฟื่องวรรธนะ, นักลงทุนเน้นคุณค่า
คุณเมธพนธ์ อมรธีรสรรค์, นักลงทุนเน้นคุณค่า
งาน BEAT THE MARKET เหมาะสำหรับนักลงทุนทุกคน ที่กำลังมองหาแนวคิดการลงทุน และหาโอกาสสร้างผลตอบแทนชนะตลาด
เวลา : วันเสาร์ที่ 26 เมษายน 2568 เวลา 10:30-18:00 น.
สถานที่ : พารากอน ซีนีเพล็กซ์ โรงภาพยนตร์สยามภาวลัย
สถานที่ : พารากอน ซีนีเพล็กซ์ โรงภาพยนตร์สยามภาวลัย
ใครไม่อยากพลาดไอเดียการลงทุน จากวิทยากรชั้นนำระดับประเทศ บัตรมีจำนวนจำกัด เปิดให้จองพร้อมกันที่ https://www.zipeventapp.com/e/BEAT-THE-MARKET-2025