พี่น้องหัวกะทิ สร้างสตาร์ตอัป 3 ล้านล้าน จากโคดเชื่อมต่อ 7 บรรทัด

พี่น้องหัวกะทิ สร้างสตาร์ตอัป 3 ล้านล้าน จากโคดเชื่อมต่อ 7 บรรทัด

พี่น้องหัวกะทิ สร้างสตาร์ตอัป 3 ล้านล้าน จากโคดเชื่อมต่อ 7 บรรทัด /โดย ลงทุนแมน
รู้หรือไม่ว่า “Stripe” เป็นสตาร์ตอัปที่ถูกประเมินมูลค่าไว้สูงถึง 3.2 ล้านล้านบาท ซึ่งนับเป็นสตาร์ตอัป
ที่มีมูลค่ามากที่สุด เป็นอันดับ 2 ของโลก เป็นรองเพียงบริษัท ByteDance เจ้าของแอปพลิเคชัน TikTok
คนที่รู้จักชื่อของ Stripe อาจมีไม่มากนัก เพราะบริษัทแห่งนี้ ไม่ได้สร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักแบบ PayPal แต่จะให้บริการรับชำระเงินอยู่เบื้องหลังเว็บไซต์และแพลตฟอร์มชื่อดังที่ทุกคนรู้จักดี อย่างเช่น Amazon, Facebook, Google, Microsoft, Uber, Spotify และ Zoom
สำหรับผู้ก่อตั้ง Stripe ก็คือ คู่พี่น้องหัวกะทิชาวไอร์แลนด์ ที่ชื่อว่า Patrick และ John Collison
โดยบริการหลักของบริษัท ก็คือ การวางโครงสร้างระบบชำระเงินออนไลน์ของผู้ประกอบการ
ซึ่งพวกเขา ทำให้ระบบดำเนินการได้ ด้วยโคดเพียง 7 บรรทัด..
เรื่องราวที่ไม่น่าเชื่อนี้ เกิดขึ้นได้อย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
Patrick Collison และน้องชายที่ชื่อ John Collison เกิดในปี 1988 และ 1990
ที่เมือง Limerick ประเทศไอร์แลนด์ ก่อนที่จะไปโตที่เมือง Dromineer
Dromineer เป็นเมืองชนบทเล็ก ๆ บ้านของพี่น้อง Collison จึงเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ค่อนข้างลำบาก
ซึ่งการที่พวกเขาจะเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้นั้น สองพี่น้องก็ต้องไปใช้อินเทอร์เน็ตดาวเทียมที่รับสัญญาณมาจากประเทศเยอรมนี โดยเสียเงินราว 4,000 บาทต่อเดือน
แต่นั่นก็ไม่ทำให้พวกเขาไม่สนใจคอมพิวเตอร์เลย เพราะที่บ้านมีคอมพิวเตอร์ถึง 9 เครื่อง และ Patrick คนพี่ก็เริ่มเรียนรู้การเขียนโปรแกรมตั้งแต่ 10 ขวบ
โดยพ่อแม่ของทั้งสองพี่น้อง ทำงานเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ทั้งคู่ พ่อเป็นวิศวกร แม่เป็นนักจุลชีววิทยา
ด้วยเหตุนี้ ก็อาจเป็นไปได้ว่าทั้งพ่อและแม่มีส่วนทำให้ลูก ๆ ชอบวิชาเลขและฟิสิกส์เป็นพิเศษ
แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ พี่น้อง Collison เป็นเด็กอัจฉริยะที่ฉลาดเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ
Patrick คนพี่ ชนะรางวัลนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ระดับประเทศในปี 2005 จากการสร้างระบบการสนทนาที่เขียนโดยภาษาทางโปรแกรมที่ชื่อว่า Lisp ซึ่งเป็นภาษากลางของนักพัฒนา AI ในยุคบุกเบิก
ในปีเดียวกัน Patrick ยังสอบเทียบจนเรียนจบมัธยมตอนอายุ 16 ปี และสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลกอย่าง MIT ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยใช้คะแนน SAT ที่สอบไว้ตั้งแต่ตอนอายุ 13 ปี
John คนน้องก็ไม่แพ้กัน เขาทำข้อสอบก่อนเข้ามหาวิทยาลัยได้คะแนนสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ของประเทศไอร์แลนด์ และสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่ประเทศสหรัฐอเมริกาได้
แต่นอกจากเรื่องการเรียนที่โดดเด่นแล้ว พี่น้อง Collison ก็สนใจและเริ่มทำธุรกิจตั้งแต่ยังเรียนอยู่
ในปี 2007 Patrick ในวัย 17 ปี ชวน John ที่อายุ 15 ปี มาทำบริษัทซอฟต์แวร์ที่ชื่อว่า Shuppa ที่ประเทศบ้านเกิด แต่โชคร้ายที่ Enterprise Ireland ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐที่สนับสนุนการทำธุรกิจ ไม่ให้เงินทุน
แต่สุดท้ายแล้ว Shuppa ของพวกเขาก็ไปเข้าตา “Y Combinator” ผู้ให้เงินทุนและคำแนะนำสตาร์ตอัปในระยะเริ่มต้นชื่อดังจากประเทศสหรัฐอเมริกา จากตรงนี้เอง ที่ทำให้พี่น้อง Collison ได้มีโอกาสย้ายไปเริ่มต้นธุรกิจที่ซิลิคอนแวลลีย์
ที่ Y Combinator ทั้ง Patrick และ John ได้ไปร่วมทีมกับศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด เพื่อก่อตั้งบริษัทที่ชื่อว่า “Auctomatic” ทำธุรกิจพัฒนาซอฟต์แวร์ ที่ช่วยจัดการระบบสินค้าคงคลัง ให้กับผู้ขายรายใหญ่บนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ eBay
เวลาผ่านไปเพียง 10 เดือน ในปี 2008 บริษัท Auctomatic ก็ถูกซื้อโดยบริษัทจากแคนาดาในราคาเกือบ 170 ล้านบาท ส่งผลให้ Patrick และ John เป็นเศรษฐีเงินล้านได้เป็นครั้งแรก หลังจากนั้นพวกเขาก็กลับไปเรียนต่อพร้อมกับหาไอเดียธุรกิจใหม่
ในช่วงทศวรรษ 2000s การซื้อขายของออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา แต่สิ่งหนึ่งที่พี่น้อง Collison เห็นก็คือ ระบบการชำระเงินออนไลน์ที่เทคโนโลยียังล้าสมัย ซึ่งถูกพัฒนาไม่ทันกับการเติบโตของอีคอมเมิร์ซ ทำให้ธุรกรรมออนไลน์ใช้เวลานานและซับซ้อน
นอกจากด้านผู้ชำระเงินออนไลน์แล้ว ผู้ประกอบการที่ต้องการสร้างแพลตฟอร์มออนไลน์ ยังต้องเจอกับขั้นตอนที่ยุ่งยาก ต้องติดต่อกับทั้งธนาคาร ผู้รับชำระเงิน และเกตเวย์ซึ่งเป็นตัวกลางที่เชื่อมโยงธุรกรรมระหว่างธนาคารและผู้รับชำระเงิน
ขั้นตอนเหล่านี้ ทำให้เจ้าของธุรกิจต้องเสียค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อน รวมถึงต้องใช้เวลานานหลายสัปดาห์หรืออาจจะถึงครึ่งปี โดยเฉพาะกับผู้ประกอบการหน้าใหม่และบริษัทสตาร์ตอัป
หลังจากการติดต่อตัวกลางต่าง ๆ สำเร็จแลัว ก็ยังต้องให้เวลานักพัฒนาแพลตฟอร์มเขียนโคด สร้างระบบรับชำระเงินออนไลน์ต่อ
จากช่องว่างที่พวกเขามองเห็นทั้งหมดนี้ ก็ได้ทำให้ในปี 2009 สองพี่น้อง Collison
ตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัย มาเริ่มก่อตั้งบริษัทใหม่ที่ชื่อว่า “Stripe”
Stripe รับหน้าที่จัดการเรื่องยุ่งยากที่เกี่ยวกับระบบรับชำระเงินออนไลน์ทั้งหมด
แทนผู้ประกอบการและนักพัฒนา แล้วย่อทุกอย่างให้เหลือเป็นโคดเพียง 7 บรรทัด สำหรับไปวางไว้ในร้านค้า เพื่อเชื่อมต่อมายังระบบของ Stripe (ซึ่งโคดในระบบของ Stripe จะมีมากกว่า 7 บรรทัด)
ซึ่งไม่ว่าจะทำธุรกิจประเภทไหนก็ตาม เพียงแค่นักพัฒนาเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน
นำโคดของ Stripe ไปใส่ ก็จะสามารถเริ่มให้บริการรับชำระเงินออนไลน์ได้ทันที
Stripe จึงช่วยลดเวลาของกระบวนการที่ซับซ้อนจากหลายสัปดาห์มาเป็นไม่กี่วินาที
แถมยังช่วยลดต้นทุนการวางโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรับชำระเงินออนไลน์ไปได้กว่า 24%
และช่วยลดความยุ่งยากให้กับนักพัฒนาในการทำแพลตฟอร์มไปได้ 59%
ลูกค้าของ Stripe ก็คือผู้ประกอบการ หรือที่เรียกว่าเป็นธุรกิจแบบ B2B ซึ่งในช่วงแรกจะโฟกัสสตาร์ตอัปในซิลิคอนแวลลีย์ที่อยู่ในช่วงเริ่มสร้างธุรกิจ อย่างเช่น
Lyft แพลตฟอร์มเรียกรถคล้าย Uber
DoorDash แพลตฟอร์มดิลิเวอรีอาหารคล้าย GrabFood
หลังจากได้รับความนิยมสูงมากในหมู่สตาร์ตอัปแล้ว ความสะดวกของ Stripe ก็ทำให้บริษัทขนาดใหญ่ในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น Facebook, อีคอมเมิร์ซ Amazon, ห้างสรรพสินค้า Target และแบรนด์เครื่องแต่งกายกีฬา Under Armour เลือกใช้บริการจาก Stripe เช่นกัน
มาจนถึงปัจจุบัน รู้หรือไม่ว่าชาวอเมริกันและชาวยุโรปเกินกว่าครึ่งหนึ่ง เคยชำระเงินออนไลน์ผ่าน Stripe โดยไม่รู้ตัว
เพราะ Stripe ได้กลายมาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการให้บริการชำระเงินออนไลน์กับธุรกิจมากกว่า 1 แสนบริษัท
โดยให้บริการกับผู้ประกอบการในกว่า 40 ประเทศ และรับชำระเงินได้มากกว่า 135 สกุลเงิน
ที่สำคัญก็คือ Stripe ได้เป็นพาร์ตเนอร์กับผู้รับชำระเงินชื่อดังมากมาย ทำให้ธุรกิจที่ใช้บริการจาก Stripe มีวิธีชำระเงินให้ลูกค้าเลือกหลากหลาย
ตั้งแต่บัตรเครดิต บัตรเดบิตชื่อดังเกือบทุกแบรนด์ รวมถึงกระเป๋าเงินดิจิทัล อย่างเช่น Apple Pay, Google Pay, Alipay และ WeChat Pay หรือแม้แต่บริการซื้อก่อนจ่ายทีหลังของ Klarna และ Afterpay
นอกจากนี้ Stripe ยังมีบริการที่ชื่อว่า “Rader” ซึ่งเป็นระบบตรวจจับธุรกรรมทุจริต โดยใช้ AI
ในการวิเคราะห์และตรวจจับธุรกรรมที่น่าสงสัย ซึ่งช่วยลดธุรกรรมที่ผิดกฎหมายลงได้ 25%
ซึ่งการที่ Stripe เลือกโฟกัสที่ความสะดวกสบายของผู้ประกอบการและผู้พัฒนาแพลตฟอร์มเป็นหลัก
ก็ได้ทำให้บริษัทแห่งนี้ กลายเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการรับชำระเงิน ที่นักพัฒนาแพลตฟอร์มเลือกใช้มากที่สุด
โดยรายได้หลักของ Stripe จะมาจาก 2 ส่วน แบ่งออกเป็นค่าธรรมเนียม 2.9% และบวกอีก 30 เซนต์ต่อบิลทั้งหมดที่ชำระผ่านช่องทางออนไลน์
นอกจากนั้นแล้ว Stripe ยังมีรายได้ค่าธรรมเนียมจากบริการใหม่ ๆ ที่พัฒนาขึ้นโดยยึดเป้าหมายหลักคือ การเพิ่มขนาดเศรษฐกิจบนโลกอินเทอร์เน็ต ด้วยบริการที่ช่วยซัปพอร์ตผู้ประกอบการ ให้การทำธุรกิจง่ายขึ้น ยกตัวอย่างเช่น
- Sigma บริการจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลของธุรกิจ
- Atlas บริการสำหรับผู้เริ่มก่อตั้งธุรกิจจากทั่วโลก ที่ Stripe จะจัดการทุกอย่างให้ทั้งหมด
- Issuing บริการออกบัตรเครดิตทั้งแบบออนไลน์และบัตรจริง
- Terminal บริการ POS สำหรับกิจการที่มีหน้าร้านด้วย
เส้นทางการระดมทุนของ Stripe ก็ถือว่าเริ่มต้นได้ดีมาตั้งแต่แรก เพราะบริษัท Auctomatic ของ Patrick และ John เคยเข้าร่วม Y Combinator มาก่อนแล้ว ซึ่งไอเดีย Stripe ของพวกเขา ก็แน่นอนว่าได้มาเริ่มต้นที่ Y Combinator เช่นกัน
Patrick และ John ใช้เวลา 2 ปีแรกไปกับการติดต่อพาร์ตเนอร์ ที่เป็นผู้ให้บริการทางการเงินต่าง ๆ และออกแบบพัฒนาโคด
โดยใช้เงินทุนจาก Y Combinator หลังจากนั้นในปี 2011 Stripe ก็ได้รับเงินระดมทุนเพิ่มเติมจากผู้ร่วมก่อตั้ง PayPal อย่าง Peter Thiel และ Elon Musk
แม้ว่า PayPal ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1998 จะเป็นผู้ปฏิวัติระบบชำระเงินออนไลน์ยุคแรก ๆ แต่พัฒนาการด้านนวัตกรรมของ PayPal ก็เริ่มช้าลงตั้งแต่บริษัทตกไปอยู่ในมือ eBay เมื่อปี 2002
Patrick และ John ได้นำเสนอไอเดียของ Stripe เพื่อขอเงินทุนจากทั้ง Thiel และ Musk ซึ่งอาจดูตลกที่พวกเขาต้องพูดต่อหน้าผู้ร่วมก่อตั้ง PayPal ว่าระบบชำระเงินบนโลกอินเทอร์เน็ตยังเต็มไปด้วยปัญหา แต่พี่น้อง Collison คิดว่าพวกเขาน่าจะเข้าใจปัญหาเหล่านั้นได้ดีที่สุด
หลังจากนั้น Stripe ก็ระดมทุนได้อย่างต่อเนื่องจากกองทุน Venture Capital ชื่อดังมากมาย อย่างเช่น Sequoia Capital และ Andreessen Horowitz จนกลายเป็นยูนิคอร์นหรือสตาร์ตอัปที่มีมูลค่ามากกว่า 3.3 หมื่นล้านบาท ในปี 2014
หลังจากนั้น 2 ปี Stripe ระดมทุนเพิ่มจนถูกประเมินมูลค่าที่ 3.1 แสนล้านบาท
ซึ่งนั่นก็ทำให้พี่น้อง Collison ถูกประเมินว่ามีทรัพย์สินคนละ 3.7 หมื่นล้านบาท
กลายเป็นเศรษฐีพันล้านที่อายุน้อยสุดในโลก ในปี 2016
ปัจจุบัน มูลค่าของ Stripe ถูกประเมินไว้ที่ 3.2 ล้านล้านบาท
กลายเป็นสตาร์ตอัปที่มีมูลค่ามากเป็นอันดับ 2 ของโลก
ส่งผลให้ผู้ก่อตั้งอย่างสองพี่น้อง Collison ในวัย 30 ต้น ๆ มีทรัพย์สินคนละกว่า 3.2 แสนล้านบาท เท่านั้นเอง..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://www.bloomberg.com/news/features/2017-08-01/how-two-brothers-turned-seven-lines-of-code-into-a-9-2-billion-startup
-https://www.inc.com/business-insider/john-collison-co-founder-president-stripe-youngest-billionaire-world.html
-https://www.wired.co.uk/article/stripe-payments-apple-amazon-facebook
-https://techcrunch.com/2012/05/20/the-story-behind-payment-disruptor-stripe-com-and-its-founder-patrick-collison/
-https://www.merchantmaverick.com/how-does-stripe-work/
-https://news.crunchbase.com/news/under-the-hood-a-closer-look-at-stripe-the-most-highly-valued-venture-backed-private-company-in-the-us/
-https://stripe.com/enterprise
-https://stripe.com/files/reports/idc-business-value-of-stripe.pdf

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

SPONSORED
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon