อนาคตธุรกิจ “ก๊าซธรรมชาติ” ประเทศไทย เป็นอย่างไร ?

อนาคตธุรกิจ “ก๊าซธรรมชาติ” ประเทศไทย เป็นอย่างไร ?

อนาคตธุรกิจ “ก๊าซธรรมชาติ” ประเทศไทย เป็นอย่างไร ?
ปตท. x ลงทุนแมน
หลังจากประเทศไทยได้สำรวจพบ ทรัพยากรพลังงาน
อย่าง “ก๊าซธรรมชาติ” ที่อ่าวไทยในปี พ.ศ. 2524 หรือกว่า 40 ปีก่อน
หลังจากนั้นมา ก๊าซธรรมชาติ ก็ได้กลายมาเป็นแหล่ง เชื้อเพลิงสำคัญในประเทศ
เนื่องจากเป็นพลังงานสะอาด
อย่างไรก็ตาม ก๊าซธรรมชาติ ถือเป็นเชื้อเพลิงพลังงานจากฟอสซิลที่มีอยู่อย่างจำกัด
ในขณะที่อนาคต ทั่วโลกก็กำลังหันเข้าหาเชื้อเพลิงสะอาดจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน
ซึ่งก็น่าจะทำให้แนวโน้มการใช้แหล่งเชื้อเพลิงจากก๊าซธรรมชาติลดลง
แล้วอนาคตของธุรกิจก๊าซธรรมชาติในประเทศไทย จะเป็นอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ก่อนอื่นเรามาดูภาพรวมทั้งหมดของก๊าซธรรมชาติในประเทศไทยกันก่อน
จริงอยู่ว่าเรามีแหล่งก๊าซธรรมชาติที่อ่าวไทย
แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอต่อการใช้งานทั้งหมดในประเทศของเรา
จึงทำให้ประเทศไทยจำเป็นต้องมีการจัดหาก๊าซธรรมชาติจากต่างประเทศอีกประมาณ 24%
โดยการนำเข้าแบ่งออกเป็นจากประเทศเมียนมา 13%
และที่เหลืออีก 11% เป็นการนำเข้าในรูปแบบ Liquefied Natural Gas (LNG)
หรือก๊าซธรรมชาติที่ถูกทำให้เป็นของเหลวขนส่งมาทางเรือ
โดยทั้งหมดที่ประเทศไทยนำเข้ามานั้น ก็จะถูกนำไปใช้ประโยชน์ในรูปแบบต่าง ๆ
อ้างอิงสัดส่วนการใช้งานจากกระทรวงพลังงานล่าสุด ก๊าซธรรมชาติถูกนำไปเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้ามากที่สุด กว่า 57% และรองลงมาคือนำไปแยกส่วนประกอบเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบตั้งต้นของปิโตรเคมี 23% นอกจากนี้ยังนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงงานอุตสาหกรรม และภาคขนส่ง (NGV) 17% และ 3% ตามลำดับ
สำหรับบริษัทที่ทำธุรกิจ ก๊าซธรรมชาติใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ก็คือ ปตท. ที่มีหน้าที่ดูแลความมั่นคงทางด้านพลังงานให้เพียงพอกับความต้องการใช้งานภายในประเทศ
แล้ว ปตท. มีมุมมองต่อเรื่องก๊าซธรรมชาติอย่างไร ?
จริงอยู่ว่าโลกของเรากำลังหันเข้าหาพลังงานหมุนเวียน
แต่ยุคของการเปลี่ยนผ่านพลังงาน จะไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน
หากเรามาดูการคาดการณ์เกี่ยวกับการใช้พลังงานทั่วโลกในปี พ.ศ. 2583
เราจะใช้พลังงานจากน้ำมัน 27%
ก๊าซธรรมชาติ 26%
พลังงานหมุนเวียน 23%
ถ่านหิน 20%
นิวเคลียร์ 4%
เมื่อเทียบกับในช่วงที่ผ่านมา ที่เราใช้พลังงานจากน้ำมัน และถ่านหินเป็นสัดส่วนที่มากที่สุด
มาโดยตลอด ซึ่งรวมกันคิดเป็น 58% ของการใช้พลังงานทั้งหมดบนโลก
จะเห็นได้ว่าเราจะใช้น้ำมัน และถ่านหินในสัดส่วนที่น้อยลง
โดยจะหันไปหาพลังงานหมุนเวียน รวมถึงก๊าซธรรมชาติมากขึ้น
จุดนี้เองได้สะท้อนให้เห็นว่าก่อนที่โลกของเราจะหันเข้าหาแหล่งพลังงานหมุนเวียนอย่างสมบูรณ์
“ก๊าซธรรมชาติ” ที่ถือเป็นฟอสซิลที่สะอาดที่สุดจะเป็น “Transition Fuel” หรือพลังงานทางผ่านไปสู่พลังงานสะอาด
โดย ปตท. มองว่ารูปแบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติแบบ LNG จะมีการเติบโตที่ดีขึ้นในอนาคต
แล้วทำไมต้อง LNG ?
จริง ๆ แล้ว การขนส่งก๊าซธรรมชาติแบบดั้งเดิมจะเป็นในลักษณะการขนส่งทางท่อ ซึ่งเป็นวิธีที่เหมาะสม และมีประสิทธิภาพมากที่สุด เนื่องจากเขตอุตสาหกรรมจำเป็นต้องใช้ก๊าซอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีอุตสาหกรรมที่อยู่นอกแนวท่อก๊าซ ซึ่งการวางท่อขนส่งก๊าซธรรมชาติจะมีมูลค่าการลงทุนที่สูง บวกกับมีระยะทางการขนส่งจำกัด
นั่นจึงทำให้การขนส่งในรูปแบบ LNG หรือก๊าซธรรมชาติที่ถูกทำให้เป็นของเหลว เป็นที่นิยมมากขึ้น
นอกจากนี้ การอัดก๊าซให้เป็นของเหลวก็ยังทำให้ขนส่งได้มากขึ้น นั่นหมายความว่าการขนส่งรูปแบบนี้จะประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่า ในขณะเดียวกัน LNG ก็ยังสามารถขนส่งผ่านทางเรือ รถไฟ หรือผ่านรถยนต์ขนส่งได้ เช่นกัน
สำหรับความเคลื่อนไหวของ ปตท. ในช่วงที่ผ่านมา
ได้เริ่มส่งออก LNG ไปยังเขตอุตสาหกรรมในประเทศจีนผ่านการขนส่งทางเรือ
และเมื่อไม่นานมานี้ ปตท. ได้มีการขนส่ง LNG ไปยังประเทศกัมพูชาผ่านทางรถยนต์
ซึ่งก็ถือเป็นการขนส่งออกชายแดนครั้งแรกของประเทศไทย
ที่น่าสนใจก็คือประเทศกัมพูชา เป็นประเทศที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศ
รวมถึงเป็นประเทศที่อัตราการใช้พลังงานเชื้อเพลิงกำลังขยายตัว
นั่นจึงทำให้การขนส่ง LNG จากประเทศไทยที่มีโครงสร้างพื้นฐานพร้อมอยู่แล้ว
ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน หรือต่างประเทศก็น่าจะกลายมาเป็นอีกธุรกิจที่มีพื้นที่ในการเติบโต
เพราะถ้าเรามาดูประเทศไทยในเชิงภูมิศาสตร์ เราจะตั้งอยู่ท่ามกลางประเทศที่มีความต้องการใช้ LNG คิดเป็นเกินกว่า 6 ใน 10 ของความต้องการใช้ LNG ทั่วโลก
ซึ่งก็ครอบคลุมตั้งแต่ประเทศจีน ญี่ปุ่น อินเดีย พม่า กัมพูชา และเวียดนาม
บวกกับนโยบายของทางภาครัฐที่ต้องการผลักดันให้ประเทศไทย เป็นศูนย์กลางการซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลวระดับภูมิภาค หรือ Regional LNG Hub ภายในปี พ.ศ. 2565 หรือปีหน้าที่จะถึงนี้
ถึงตรงนี้ ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า..
จากเดิม ที่เราจัดหาก๊าซธรรมชาติมาใช้ในประเทศเป็นหลักมาโดยตลอด
แต่ในอนาคต เราอยากจะก้าวไปเป็น “ศูนย์กลาง” สำหรับการซื้อขายระดับภูมิภาค
หากทำได้สำเร็จ ก็มีการคาดการณ์ว่า Regional LNG Hub จะช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ
ให้กับประเทศไทยราว 1.65 แสนล้านบาท ในช่วง 10 ปี และยังจะช่วยให้เกิดการจ้างงาน
เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 1.6 หมื่นคนต่อปี เลยทีเดียว..

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

SPONSORED
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon