ผู้สนับสนุน.. ย้อนตำนาน True กับบทแรกของธุรกิจโทรคมนาคม

ผู้สนับสนุน.. ย้อนตำนาน True กับบทแรกของธุรกิจโทรคมนาคม

ผู้สนับสนุน..
ย้อนตำนาน True กับบทแรกของธุรกิจโทรคมนาคม
อย่างที่เรารู้กันดีว่า โลกปัจจุบันกำลังเข้าสู่ยุค “อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง” (Internet of Things – IoT) หรือ “ทุกสรรพสิ่งสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ต” และ “การสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ (Machine to Machine – M2M)
ซึ่งเทคโนโลยี 5G ที่ทำให้สามารถรับส่งข้อมูลในปริมาณมากด้วยความเร็วสูง ก็คือพื้นฐานของแนวคิดนี้ และถือว่ามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็น “Thailand 4.0” ซึ่งจะเปลี่ยนเศรษฐกิจแบบเดิมไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม
รัฐบาลไทยโดยสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จึงกำลังเร่งผลักดันอย่างจริงจังให้เกิดเทคโนโลยี 5G ภายในปี 2563 เพื่อไม่ให้ประเทศไทยล้าหลังจนสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจ
ถ้ามองย้อนกลับไปยุค 2G เมื่อเกือบ 3 ทศวรรษก่อน ช่วงเวลานั้น ถือเป็นยุคเริ่มต้นของอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย จะมีใช้เฉพาะในสถาบันการศึกษาโดยเชื่อมสัญญาณผ่านสายโทรศัพท์
ส่วนระบบโทรศัพท์หลักถ้าจำกันได้ จะเป็นระบบลากสายไปตามสำนักงานและบ้าน คนส่วนใหญ่ยังต้องพึ่งพาโทรศัพท์สาธารณะที่รอคิวกันยาวเหยียด เพราะการขอเบอร์โทรศัพท์บ้านเพียง 1 หมายเลข อาจจะต้องรอกันข้ามปี ทำให้เกิดการเรียกเก็บหัวคิวและการขอหมายเลขโทรศัพท์ครั้งละหลายหมายเลขเพื่อนำมาขายเก็งกำไร
โทรศัพท์มือถือก็เช่นกัน ที่เพิ่งเริ่มต้นได้ไม่นานและมีผู้ให้บริการเพียง 2 รายคือ องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ปัจจุบันคือ TOT) กับการสื่อสารแห่งประเทศไทย (ปัจจุบันคือ CAT)
การเกิดขึ้นของ “ทรู คอร์ปอเรชั่น” เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2533 ด้วยวิสัยทัศน์ของ คุณธนินท์ จึงไม่เพียงสร้างความเปลี่ยนแปลงในการดำเนินกิจการของเครือซีพีที่ขยายจากธุรกิจเกษตรและอาหาร มาสู่ธุรกิจโทรคมนาคม แต่ยังสร้างความเปลี่ยนแปลงมหาศาลให้แก่โครงสร้างพื้นฐานด้านการโทรคมนาคมของประเทศไทยด้วย
คุณธนินท์ เริ่มธุรกิจโทรคมนาคม เมื่อรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ (ช่วงปี พ.ศ. 2531-2534) เปิดโอกาสให้บริษัทเอกชนไทยร่วมลงทุนในโครงการ “ขยายโครงข่ายโทรศัพท์ 3 ล้านเลขหมาย” ในปี พ.ศ. 2533
ในตอนนั้น ไม่มีบริษัทไทยตอบรับเข้าร่วมโครงการเลย โดยสาเหตุหลักก็คือ ต้องใช้เงินลงทุนสูงเกินไป
ซึ่งก็รวมถึงคุณธนินท์ด้วย ที่ในตอนแรกปฏิเสธเช่นเดียวกับผู้ประกอบการรายอื่น ด้วยเหตุผลที่ว่าไม่ใช่งานที่ตัวเองถนัด แต่เมื่อได้ไตร่ตรองว่า ข้อมูลข่าวสารและการสื่อสารอย่างรวดเร็วด้วยเทคโนโลยีทันสมัย กำลังเป็นคลื่นลูกใหม่ที่จะเข้ามาปฏิวัติระบบธุรกิจแบบเดิมๆ ของโลกทั้งหมด
และในขณะนั้น ประเทศอื่นๆในแถบเอเชีย เช่น ไต้หวันและเกาหลี มีโทรศัพท์ 1 เลขหมายต่อประชาชน 3 คน มาเลเซีย มีโทรศัพท์ 1 เลขหมายต่อประชาชน 10 คน ส่วนประเทศไทย ยังมีเพียง 1 เลขหมายต่อประชาชน 33 คน
โครงการขยายโครงข่ายโทรศัพท์ จึงถือเป็นโครงการที่จะก่อประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติระยะยาว ตาม “หลักการ 3 ประโยชน์” ซึ่งหมายถึง “ประชาชนได้ประโยชน์ ประเทศชาติได้ประโยชน์ และบริษัทได้ประโยชน์” ที่เขายึดถือตลอดมาในการทำธุรกิจ
คุณธนินท์ จึงตัดสินใจลงทุนทันที
แนวทางการทำงานของคุณธนินท์ในเรื่องนี้ คล้ายกับตอนที่เขาปฏิวัติการเลี้ยงไก่ในประเทศไทยด้วยเทคโนโลยีล่าสุดจากสหรัฐอเมริกา นั่นก็คือ เมื่อเริ่มงานใหม่ที่ยังไม่มีความรู้ ต้องใช้เทคโนโลยีที่ดีที่สุดในโลกของคนเก่งระดับโลกมาช่วยพัฒนา ซึ่งทำได้ด้วยการ “ขอความร่วมมือ” หรือ “ซื้อ” เทคโนโลยีสำเร็จรูป
คุณธนินท์ เชิญ บริษัท บริติช เทเลคอม (British Telecom ปัจจุบันคือ BT Group) ยักษ์ใหญ่ด้านโทรคมนาคมจากประเทศอังกฤษ มาเป็นที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีและถือหุ้นร่วม แล้วยื่นข้อเสนอเป็นผู้ดำเนินการโครงการขยายโครงข่ายโทรศัพท์ 3 ล้านเลขหมาย ซึ่งเมื่อยื่นให้คณะกรรมการฯ พิจารณาแล้ว ก็ถือเป็นข้อเสนอที่ดีที่สุด ทั้งในด้านเทคนิค อัตราส่วนแบ่งรายได้ และการบริหารโครงการ
เครือซีพี จึงได้รับสัมปทานดำเนินงาน 25 ปีแต่เพียงผู้เดียว บนเงื่อนไขว่าต้องใช้ผู้ผลิตอุปกรณ์เป็นซัพพลายเออร์มากกว่า 1 รายเพื่อป้องกันการผูกขาด ซึ่งซีพีได้เลือกใช้ 3 รายที่เป็นระดับสุดยอดของโลก ได้แก่ ซีเมนส์ (Siemens) จากเยอรมนี, เอทีแอนด์ที (AT&T) จากสหรัฐอเมริกา และเอ็นอีซี (NEC) จากญี่ปุ่น
และในวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2533 เครือซีพีจัดตั้งบริษัทจดทะเบียนชื่อ “บริษัท ซีพี เทเลคอมมิวนิเคชั่น จำกัด” หรือ “ซีพี เทเลคอม” เพื่อดำเนินงานโครงการดังกล่าวด้วยวงเงินลงทุนกว่าแสนล้านบาท
แต่ต่อมา ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ซึ่งนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การดูแลของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (รสช.) ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534
คุณธนินท์จึงต้องเจรจากับรัฐบาลชุดใหม่ในสมัยนายกรัฐมนตรี อานันท์ ปันยารชุน อีกรอบ
การเจรจาครั้งนี้ บริษัท เทเลคอมเอเชีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเปลี่ยนชื่อมาจาก “ซีพีเทเลคอม” ยอมสละสิทธิ์ขยายโครงข่ายเขตภูมิภาค โดยตกลงขยายโทรศัพท์ 2 ล้านเลขหมายเฉพาะเขตนครหลวงให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. 2539 ซึ่งต่อมาจะเพิ่มเติมอีก 6 แสนเลขหมาย และ เทเลคอมเอเชีย สามารถส่งมอบเลขหมายทั้งหมดให้แก่องค์การโทรศัพท์ก่อนกำหนดเวลา
เมื่อเริ่มดำเนินงาน เทเลคอมเอเชีย ก็จัดการให้การขอจดทะเบียนหมายเลขโทรศัพท์เกิดความสะดวกรวดเร็ว จากเดิมที่บางคนอาจต้องรอเบอร์เป็นปี ก็ลดระยะเวลาเหลือเป็นสัปดาห์โดยไม่ต้องจ่ายค่าหัวคิวใดๆ
ตามด้วยการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมไทยแบบก้าวกระโดด โดยยกเลิกระบบชุมสายโทรศัพท์แบบเดิม เป็นการวางโครงข่ายกระจายศูนย์ที่ไม่ต้องพึ่งพาชุมสายหลัก สามารถแตกลูกข่ายเป็นชุมสายย่อย เชื่อมต่อถึงบ้านและสำนักงานต่างๆ ได้ทันที
รวมถึงการใช้เทคโนโลยีเชื่อมต่อข้อมูลแบบใหม่ล่าสุดในขณะนั้น คือ “เคเบิลใยแก้วนำแสง” ซึ่งมีช่องสัญญาณกว้าง ส่งข้อมูลได้มหาศาลทั้งภาพและเสียง จน เทเลคอมเอเชีย กลายเป็นผู้ประกอบการไทยรายแรกๆ ที่สามารถให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงโดยไม่ต้องลงทุนเปลี่ยนโครงข่ายโทรศัพท์
นับจากนั้นมา วงการโทรคมนาคมไทยจึงเข้าสู่ยุคใหม่อย่างสมบูรณ์พร้อมกับการแข่งขันใหม่ๆในแวดวงธุรกิจโทรคมนาคมที่นำความเติบโตมาสู่เศรษฐกิจของประเทศ เช่น ธุรกิจโทรศัพท์มือถือและธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง
ปัจจุบันบริษัท เทเลคอมเอเชีย เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัททรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ True Corporation และแม้ยังคงอยู่ในช่วงเพิ่มทุนเพื่อนำเงินมาสนับสนุนธุรกิจ บริษัทก็ได้ขยายกิจการโทรคมนาคมไปรอบด้าน บนหลักปรัชญา 3 ประโยชน์ของ คุณธนินท์ ในการสร้างคุณค่าให้แก่ธุรกิจอย่างยั่งยืน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
พร้อมเดินหน้ากับเทคโนโลยี 5G เพื่อร่วมพัฒนา “Thailand 4.0”

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

SPONSORED
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon