ทรัสต์ WHART โอกาสการสร้างผลตอบแทนในระยะยาว

ทรัสต์ WHART โอกาสการสร้างผลตอบแทนในระยะยาว

4 พ.ย. 2019
ผู้สนับสนุน..
ทรัสต์ WHART โอกาสการสร้างผลตอบแทนในระยะยาว / โดย ลงทุนแมน
ในช่วงที่ผ่านมา.. ความไม่แน่นอนจากสงครามทางการค้า และเศรษฐกิจทั่วโลก
กำลังทำให้ตลาดทุนมีความผันผวนสูง
เรื่องนี้ส่งผลให้ การกระจายการลงทุนไปยังกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน หรือทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์กำลังเป็นทางเลือกที่นักลงทุนหลายคนให้ความสนใจ
ซึ่งหนึ่งในโอกาสการลงทุนล่าสุดมาจาก
ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยมโกรท (WHART) ซึ่งกำลังจะเพิ่มทุนครั้งที่ 4
แล้วรายละเอียดการเพิ่มทุนครั้งนี้มีอะไรบ้าง?
ลงทุนแมนจะมาสรุปให้ฟัง
ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์..
หรือที่เรียกกันว่า รีท (REIT) จะมีแหล่งรายได้หลัก
มาจากการนำอสังหาริมทรัพย์ที่ลงทุนออกให้เช่า
โดยทรัพย์สินปัจจุบันของกองทรัสต์ WHART ตั้งอยู่ในบริเวณ
บางนา-ตราด 61%
อยุธยา-สระบุรี 25%
โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก 13%
และจังหวัดสมุทรสาคร 1%
โดย WHART มีทรัพย์สินหลักๆ ก็คือ คลังสินค้า และ โรงงาน ซึ่งผู้เช่าส่วนใหญ่มาจากหลายอุตสาหกรรม และเป็นธุรกิจชั้นนำระดับประเทศที่มีศักยภาพสูง
ธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน (FMCG) เช่น
BJC, Unilever, DKSH, Osotspa และ Kao
ธุรกิจอาหารเครื่องดื่ม เช่น
Starbucks, Minor Food Group และ Central Restaurant Group
ธุรกิจยานยนต์ เช่น
Ducati, Mazda และ Honda Logistics
ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เช่น
Shopee, COL และ JD Central
เรามาดู พื้นที่เช่าคลังสินค้าและโรงงานของ WHART
ปี 2557 พื้นที่เช่าประมาณ 167,107 ตารางเมตร (IPO)
ปี 2558 พื้นที่เช่าประมาณ 342,043 ตารางเมตร (เพิ่มทุนครั้งที่ 1)
ปี 2559 พื้นที่เช่าประมาณ 499,258 ตารางเมตร (เพิ่มทุนครั้งที่ 2)
ปี 2560 พื้นที่เช่าประมาณ 971,578 ตารางเมตร (แปลงสภาพจาก WHAPF)
ปี 2561 พื้นที่เช่าประมาณ 1,128,113 ตารางเมตร (เพิ่มทุนครั้งที่ 3)
ที่ผ่านมา สินทรัพย์ของ WHART มีอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ยเกินกว่า 90%
ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่สูง เนื่องมาจากความเชื่อมั่นของลูกค้าบนแพลตฟอร์มพื้นที่เช่าของโครงการ Built-to-Suit Warehouse & Factory ระดับพรีเมียมตามมาตรฐานสากลของบริษัท
ในขณะที่ภายหลังการเพิ่มทุนครั้งที่ 4 จะทำให้ WHART มีพื้นที่เช่าคลังสินค้าและโรงงานรวมประมาณ 1,283,350 ตารางเมตรครอบคลุมแหล่งยุทธศาสตร์การกระจายสินค้ากว่า 29 โครงการ
สำหรับการเพิ่มทุนครั้งนี้ WHART จะลงทุนเพิ่มเติมในทรัพย์สินโซนบางนา-ตราด 90% และ โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก 10%
ที่น่าสนใจก็คือ การเพิ่มทุนครั้งนี้จะเป็นการเพิ่มกลุ่มลูกค้าจากธุรกิจใหม่ๆ เช่น อีคอมเมิร์ซ และ โรงงานผลิตแบตเตอรี่แรงดันสูงสำหรับรถยนต์ Plug-in Hybrid
โดยกลุ่มผู้เช่าของทรัพย์สินที่จะลงทุนเพิ่มเติมมาจากผู้ประกอบการ
ธุรกิจโลจิสติกส์ 37%
ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ 34%
ธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน 18%
ธุรกิจอุตสาหกรรมการผลิต 11%
หลังการเพิ่มทุน WHART จะมีสินทรัพย์รวมกันกว่า 38,000 ล้านบาท และบริษัทจะสามารถรักษาอัตราส่วนทรัพย์สิน แบ่งออกเป็น
Freehold (กรรมสิทธิ์ ) 67%
Leasehold (สิทธิการเช่า 30+30 ปี) 9%
Leasehold (สิทธิการเช่าไม่เกิน 30 ปี) 24%
นอกจากนี้ โอกาสของนักลงทุนในการได้รับผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลและเงินลดทุนที่มั่นคงเพิ่มขึ้นภายหลังการทำรายการ จาก 0.78 บาทต่อหน่วย เป็น 0.79 บาทต่อหน่วย (โดยอ้างอิงจากงบกำไรขาดทุนและการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนตามสถานการณ์สมมติ สำหรับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 ถึง 31 ธันวาคม 2563 สอบทานโดย PwC)
ทั้งหมดนี้ส่งผลให้ WHART เป็นอีกหนึ่งในการลงทุนที่น่าสนใจ
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสม่ำเสมอ และ ลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน
สำหรับผู้ที่สนใจ
WHART กำลังจะเสนอขายหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนต่อผู้ถือหน่วยเดิมตามสัดส่วนภายในวันที่ 12 ถึง 15 และ 18 พฤศจิกายน และเสนอขายต่อประชาชนทั่วไป (ตามดุลยพินิจของผู้จัดการการจัดจำหน่ายและผู้จัดการจำหน่าย) ภายในวันที่ 19 ถึง 22 และ 25 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ ที่สาขาของธนาคารกสิกรไทย
ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) โทร 02-888-8888 ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมที่ WWW.SEC.OR.TH หรือ WWW.WHAREIT.COM
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลในหนังสือชี้ชวนก่อนการตัดสินใจลงทุน
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.