
“คณิตศาสตร์” พื้นฐานสำคัญ ของนักพนัน และนักลงทุน
“คณิตศาสตร์” พื้นฐานสำคัญ ของนักพนัน และนักลงทุน /โดย ลงทุนแมน
เมื่อพูดถึงการพนัน สิ่งที่หลายคนมักนึกถึงคือ “การเจ๊งหมดตัว”
ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องไม่แปลกนัก เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าเจ้ามือ มักสร้างเกมที่ตัวเองได้เปรียบ เพื่อกอบโกยเงินอยู่แล้ว
เมื่อพูดถึงการพนัน สิ่งที่หลายคนมักนึกถึงคือ “การเจ๊งหมดตัว”
ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องไม่แปลกนัก เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าเจ้ามือ มักสร้างเกมที่ตัวเองได้เปรียบ เพื่อกอบโกยเงินอยู่แล้ว
ดังนั้นการที่เราจะเอาชนะเกมในระยะยาวได้ จึงแทบเป็นไปได้ยากหรือเป็นไปไม่ได้เลย
แต่รู้หรือไม่ว่า มีบางคนที่สามารถประสบความสำเร็จจากการเล่นเกมพนัน โดยใช้ทักษะ ไม่ใช่เพียงแค่โชค เช่น
Vanessa Rousso ทนายความชาวฝรั่งเศส-อเมริกัน ที่ใช้เวลา 6 ปี
ในการสร้างเงินเกินกว่า 100 ล้านบาท จากการเล่นไพ่โป๊กเกอร์
ในการสร้างเงินเกินกว่า 100 ล้านบาท จากการเล่นไพ่โป๊กเกอร์
หรือแม้แต่ Edward O. Thorp สร้างกำไร 3.6 แสนบาท ภายใน 1 สัปดาห์
จากการเล่นไพ่แบล็กแจ็ก ด้วยเงินต้นเพียง 3.3 แสนบาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทน 110%
จากการเล่นไพ่แบล็กแจ็ก ด้วยเงินต้นเพียง 3.3 แสนบาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทน 110%
พวกเขาเหล่านี้ ไม่ได้ชนะการพนันเพียงแค่ครั้งเดียว แล้วหายไป
แต่ยังสามารถสร้างผลตอบแทนระยะยาว จนเรียกว่า ใช้หากินเลยก็ว่าได้
โดยเครื่องมือที่บุคคลเหล่านี้นำมาใช้ก็คือ “คณิตศาสตร์”
แต่ยังสามารถสร้างผลตอบแทนระยะยาว จนเรียกว่า ใช้หากินเลยก็ว่าได้
โดยเครื่องมือที่บุคคลเหล่านี้นำมาใช้ก็คือ “คณิตศาสตร์”
ทำไมคณิตศาสตร์ ถึงช่วยให้ผู้คนเอาชนะการพนันได้
แล้วนอกจากการพนันแล้ว คณิตศาสตร์สามารถประยุกต์ใช้กับอะไรได้อีกบ้าง ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
แล้วนอกจากการพนันแล้ว คณิตศาสตร์สามารถประยุกต์ใช้กับอะไรได้อีกบ้าง ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ก่อนอื่น เราลองมาดูกันว่าตัวเราเองนั้น เคยเจอเหตุการณ์เหล่านี้หรือไม่
- ตั้งใจว่า จะเล่นให้ได้กำไรประมาณหนึ่ง แล้วหยุดเล่น
- แต่หากขาดทุน ก็จะจำกัดการขาดทุนให้ได้เท่าทุนที่ตั้งไว้
- พอเล่นจริงได้กำไรมาแล้ว แต่อยากได้เพิ่มอีกนิด เลยเล่นต่อ
- กำไรเริ่มลดลงจนเหลือเท่าทุน สุดท้ายทุนที่ตั้งไว้ตอนแรกก็หมด..
- หาเงินมาลงเพิ่มเพื่อหวังเอาทุนคืน และพบว่าต้องสูญเสียเงินก้อนนั้นไปในเวลาต่อมา..
- แต่หากขาดทุน ก็จะจำกัดการขาดทุนให้ได้เท่าทุนที่ตั้งไว้
- พอเล่นจริงได้กำไรมาแล้ว แต่อยากได้เพิ่มอีกนิด เลยเล่นต่อ
- กำไรเริ่มลดลงจนเหลือเท่าทุน สุดท้ายทุนที่ตั้งไว้ตอนแรกก็หมด..
- หาเงินมาลงเพิ่มเพื่อหวังเอาทุนคืน และพบว่าต้องสูญเสียเงินก้อนนั้นไปในเวลาต่อมา..
ลำดับเหตุการณ์ดังกล่าว เรียกได้ว่าเป็นหนังม้วนเดิมสำหรับนักพนันหลายคน
คำถามที่ตามมาก็คือ ทำไมถึงเกิดวงจรแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
คำถามที่ตามมาก็คือ ทำไมถึงเกิดวงจรแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ส่วนหนึ่ง แน่นอนว่าเป็นเพราะการใช้อารมณ์ในการเล่นของแต่ละคน
แต่อีกส่วนซึ่งสำคัญไม่แพ้กัน ก็ต้องบอกว่า เป็นผลมาจาก “กลไกเกม” ของเจ้ามือ
แต่อีกส่วนซึ่งสำคัญไม่แพ้กัน ก็ต้องบอกว่า เป็นผลมาจาก “กลไกเกม” ของเจ้ามือ
ซึ่งก็ต้องบอกว่าเจ้าของธุรกิจการพนันนั้น จะใช้หลักที่คล้ายกันกับบริษัทประกัน
คือจะเก็บเงินจากคนจำนวนมาก เพื่อมาจ่ายให้กับคนบางส่วน
เพื่อดึงดูดให้คนเล่นต่อ หรือทำให้นักพนันหวังว่าจะได้เป็นคนโชคดีกับเขาบ้าง
คือจะเก็บเงินจากคนจำนวนมาก เพื่อมาจ่ายให้กับคนบางส่วน
เพื่อดึงดูดให้คนเล่นต่อ หรือทำให้นักพนันหวังว่าจะได้เป็นคนโชคดีกับเขาบ้าง
แม้ว่าใครจะโชคดีที่สามารถได้กำไรตั้งแต่แรก ๆ แต่ในที่สุดก็จะแพ้อยู่ดี ซึ่งก็เป็นไปตาม “Law of Large Numbers” เพราะเจ้าของธุรกิจพนันนั้น ได้คำนวณและออกแบบระบบเกมที่ตัวเองได้เปรียบในระยะยาว
จากเรื่องนี้เห็นได้ว่า แม้การพนันเป็นเรื่องของดวง
แต่ก็สร้างขึ้นจากการคำนวณทางคณิตศาสตร์
ดังนั้นหากเราอยากหาทางเอาชนะเจ้ามือให้ได้ ก็ต้องเข้าใจคณิตศาสตร์เสียก่อน
แต่ก็สร้างขึ้นจากการคำนวณทางคณิตศาสตร์
ดังนั้นหากเราอยากหาทางเอาชนะเจ้ามือให้ได้ ก็ต้องเข้าใจคณิตศาสตร์เสียก่อน
ทีนี้มาดูกันว่า เราต้องเข้าใจอะไรบ้าง ?
1. กำไรคาดหวัง
สำหรับการประเมินเกมพนันที่ควรค่าแก่การเล่นหรือการเสี่ยง
สิ่งแรกที่ควรทำเลยคือ “การประเมินกำไรคาดหวัง”
สิ่งแรกที่ควรทำเลยคือ “การประเมินกำไรคาดหวัง”
กำไรคาดหวัง ถูกคิดค้นโดย Christiaan Huygens นักคณิตศาสตร์ชาวดัตช์ เพื่อประเมินว่า เกมพนันแบบไหนควรเล่น ซึ่งไม่ใช่แค่การประเมินโอกาสในการชนะเท่านั้น แต่ต้องคิดรวมขนาดของการเดิมพันไปด้วย
โดยสูตรคือ กำไรคาดหวัง = (เงินที่ได้ x โอกาสชนะ) + (เงินที่เสีย x โอกาสที่แพ้)
ดังนั้นหากเราต้องการสร้างเงินได้ในระยะยาว ให้เลือกเกมที่กำไรคาดหวังเป็นบวก
แต่ถ้าหากเราเผลอเล่นเกมที่กำไรคาดหวังเป็นลบ และบังเอิญว่าโชคดีได้เงินมาก่อน
เราก็ควรเลิกเล่นเกมนั้นทันที เพราะสุดท้ายหากเล่นต่อไปเรื่อย ๆ เรานี่เองจะเป็นคนเสียเงิน
เราก็ควรเลิกเล่นเกมนั้นทันที เพราะสุดท้ายหากเล่นต่อไปเรื่อย ๆ เรานี่เองจะเป็นคนเสียเงิน
อย่างไรก็ตาม โดยปกติแล้ว กำไรคาดหวังของเกมพนันที่มีเจ้ามือ “มักจะติดลบ” จึงเป็นเรื่องยากที่จะเอาชนะได้ ซึ่งตัวอย่างที่เราเห็นก็คือ เกมในบ่อนการพนัน หรือแม้แต่สลากกินแบ่งรัฐบาล ก็เป็นเกมที่มีกำไรคาดหวังที่ติดลบ
นอกจากกำไรคาดหวังถูกใช้กับการพนันได้แล้ว
หลักคณิตศาสตร์นี้ ก็ยังสามารถประยุกต์ใช้กับการลงทุนได้ไม่ต่างกัน
หลักคณิตศาสตร์นี้ ก็ยังสามารถประยุกต์ใช้กับการลงทุนได้ไม่ต่างกัน
ตัวอย่างเช่น หากเราเก็บสถิติข้อมูลการลงทุนของตัวเอง
แล้วพบว่ามีแค่ 30% เท่านั้นที่เราซื้อหุ้นแล้วสร้างผลตอบแทนเป็นบวก
ส่วนอีก 70% ให้ผลตอบแทนเป็นลบ
แล้วพบว่ามีแค่ 30% เท่านั้นที่เราซื้อหุ้นแล้วสร้างผลตอบแทนเป็นบวก
ส่วนอีก 70% ให้ผลตอบแทนเป็นลบ
แต่เราอยากประสบความสำเร็จในการลงทุน
ก็ให้เราจำกัดการขาดทุนแต่ละครั้งให้น้อยเข้าไว้ เช่น -5%
และปล่อยให้มีกำไรในแต่ละครั้งที่ลงทุน เช่น อย่างน้อย 30%
ก็ให้เราจำกัดการขาดทุนแต่ละครั้งให้น้อยเข้าไว้ เช่น -5%
และปล่อยให้มีกำไรในแต่ละครั้งที่ลงทุน เช่น อย่างน้อย 30%
ซึ่งจากการใช้กลยุทธ์นี้ เราจะมีกำไรคาดหวัง = (30% x 0.3) + (-5% x 0.7) = 5.5%
จะเห็นได้ว่า แม้เราจะมีจำนวนครั้งที่ขาดทุนบ่อย แต่ก็สามารถสร้างกำไรได้
หากครั้งที่กำไรสามารถทำเงินเป็นจำนวนมากได้
หากครั้งที่กำไรสามารถทำเงินเป็นจำนวนมากได้
2. การบริหารหน้าตัก หรือการบริหารเงินทุน
แม้ว่าเรารับรู้กำไรคาดหวังแล้ว แต่ถ้าเราพบกับการขาดทุนติดต่อกัน เราก็อาจหมดตัวก่อนถึงคราวที่กอบโกยเงินจากครั้งที่กำไร
วิธีการแก้เรื่องนี้ก็คือ การไม่ลงเงินทั้งหมดของเราในการลงทุนครั้งเดียว
ซึ่งนอกจากการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนหลายตัว หรือหลายไม้แล้ว
ซึ่งนอกจากการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนหลายตัว หรือหลายไม้แล้ว
เราอาจกำหนดขนาดของการลงทุนแต่ละตัวให้ไม่มากเกินไปแบบง่าย ๆ เช่น ไม่เกิน 10% หรือ 20% ของเงินลงทุนทั้งหมด หรือเราอาจจะคำนวณขนาดของการลงทุนแต่ละตัวด้วยสูตรทางคณิตศาสตร์ เช่น สูตรการขาดทุนสูงสุดที่เรารับได้ (Value at Risk) หรือ สูตรขนาดเดิมพันที่เหมาะสม (Kelly Formula) ซึ่งสูตรพวกนี้สามารถหาข้อมูลได้ทั่วไปตามอินเทอร์เน็ต หรือ ChatGPT
3. การเข้าใจอคติ
ในวงการการพนัน มักมีอคติหนึ่งที่เกิดขึ้นบ่อยกับผู้คนคือ Gambler's Fallacy หรือความเชื่อผิด ๆ ว่า ถ้าเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นบ่อยกว่าปกติในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ
เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นบ่อยครั้งน้อยลงในอนาคต ทั้ง ๆ ที่เหตุการณ์เหล่านั้นเป็นอิสระจากกันในทางสถิติ
เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นบ่อยครั้งน้อยลงในอนาคต ทั้ง ๆ ที่เหตุการณ์เหล่านั้นเป็นอิสระจากกันในทางสถิติ
ยกตัวอย่างเช่น หากโยนเหรียญออกหัวไปแล้ว 5 ครั้ง ถ้าโยนต่อครั้งที่ 6 หลายคนอาจคิดว่าโอกาสออกก้อยมากกว่าหัว แม้ว่าการโยนเหรียญแต่ละครั้งไม่ได้ส่งผลอะไรต่อกันเลย (จะโยนกี่ครั้ง โอกาสเกิดหัวหรือก้อย ก็คือ 50:50 อยู่วันยังค่ำ)
หรือแม้กระทั่งสลากกินแบ่งรัฐบาล มีหลายคนที่ซื้อเลขซ้ำกัน เพื่อหวังว่าจะถูกในงวดต่อ ๆ ไป
ในวงการการลงทุน ก็มีลักษณะที่คล้ายกัน เช่น หากหุ้น A ราคาตกมาแล้ว 5 วัน บางคนก็อาจคิดว่าวันที่ 6 ราคามันต้องเด้งขึ้นมา ซึ่งในความเป็นจริงมันก็อาจไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป
จะเห็นได้ว่าจริง ๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเกมการพนัน หรือการลงทุน
หากเราเอาคณิตศาสตร์เข้ามาเป็นพื้นฐาน และมีความเข้าใจอคติทางจิตวิทยาที่เกี่ยวข้อง
มันก็อาจจะทำให้ตัวเราเองอยู่ในจุดได้เปรียบในเกมนั้น ได้เช่นกัน..
หากเราเอาคณิตศาสตร์เข้ามาเป็นพื้นฐาน และมีความเข้าใจอคติทางจิตวิทยาที่เกี่ยวข้อง
มันก็อาจจะทำให้ตัวเราเองอยู่ในจุดได้เปรียบในเกมนั้น ได้เช่นกัน..