ถ้าสตีฟ จ็อบส์ มองลงมาที่ Apple ในวันนี้ เขาก็คงอาจผิดหวังนิดหน่อย /โดย ลงทุนแมน
เคยสงสัยกันไหมว่า ถ้ามองไปอีก 10 ปี หุ้นอเมริกา 7 นางฟ้า VS หุ้นจีนทศเทพ ตัวไหนยังอยู่ ตัวไหนจะหายไป ?

คุณยศพนธ์ สุธารัตนชัยพร, CFA, นักลงทุนเน้นคุณค่า
และคุณทิวา ชินธาดาพงศ์, นายกสมาคมนักลงทุนแห่งประเทศไทย
ชวนวิเคราะห์ประเด็นนี้ ในยามที่ตลาดหุ้นจีน พุ่งแรงในปีนี้ สวนทางกับหุ้นสหรัฐฯ ที่ร่วงลง
และความตึงเครียดทางการค้า ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ทวีความรุนแรงขึ้น

ทั้ง 2 คนมีมุมมองต่อเรื่องนี้อย่างไร ?

ในหัวข้อ “Magnificent 7 vs Terrific 10 วิเคราะห์กลุ่มหุ้นผู้ชนะของโลก 7 นางฟ้า vs ทศเทพ ในทุกมิติ” ที่งาน BEAT THE MARKET

คุณยศพนธ์ มองว่า โลกกำลังจะเปลี่ยนไปในทิศทางที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เกิด Point of no Return ซึ่งจะ Impact ทั้งกลุ่ม 7 นางฟ้า และทศเทพจีน

โดย Globalization จะลดลง เพราะมีประเทศหนึ่ง ที่ผลิตได้ถูกกว่าทุกแห่งในโลก ก็คือ “จีน” ซึ่งสหรัฐอเมริกา ในฐานะผู้บริโภคหลักของโลก ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้มาพักหนึ่งแล้ว

ในสมัยทรัมป์ 1.0 จีนแก้ปัญหาสงครามการค้า โดยใช้แผน China + 1 หรือการใช้ประเทศที่สาม เป็นทางผ่านสินค้าไปยังสหรัฐอเมริกา อย่างไทย และเวียดนาม

ในสมัยทรัมป์ 2.0 สหรัฐอเมริกา ปิดจุดอ่อนตรงนี้ เพื่อควบคุมการนำเข้าสินค้าจีน จากประเทศที่สาม

คุณทิวา เสริมว่า สหรัฐอเมริกาเอาจริงเรื่อง Tariff ไม่ใช่การบลัฟจีน
นักลงทุนทุกคน ควรใส่สมมติฐานเรื่อง Tariff เป็นความเสี่ยงเข้าไปในสมการการลงทุนด้วย

ทีนี่มาลองวิเคราะห์หุ้นรายตัว เริ่มกันที่คู่แรก Apple VS Xiaomi

คุณยศพนธ์ มองว่า เป็นบริษัทที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด เพราะ iPhone กว่า 70% ผลิตในจีน
อย่างไรก็ตาม Apple ได้พยายามกระจายการลงทุนออกไปยังประเทศอื่น ๆ เช่น อินเดีย ซึ่งก็ยังตามหลังจีนอยู่

การย้ายฐานการผลิตยังต้องใช้เวลา แต่การมาของ Humanoid หรือ Automation ต่าง ๆ ก็อาจช่วยทำให้เปลี่ยนถ่ายได้เร็วขึ้น

ในขณะที่ฝั่งจีน บริษัท Xiaomi ได้ตั้งโรงงานที่ไม่ได้ใช้แรงงานคน (Auto 100%) ซึ่งการตั้งโรงงานลักษณะนี้ในอินเดีย ยังเป็นไปได้ยาก

มองว่า Apple น่าจะยังไปได้ เพราะคนใช้งาน ยังมี Switching Cost สูง ลูกค้ายังติด Ecosystem อยู่
ขณะที่รายได้ กำไร ของ Services Segment ของ Apple ยังคงเติบโตได้ดี
ทำให้ Margin ของกำไรภาพรวมของ Apple เพิ่มขึ้น

และ Apple ยังคงมีการลงทุน (CapEx) ในระดับที่สูงมาก โดยเฉพาะฝั่ง Data Center
โดยทุกวันนี้ Data Center ของ Apple ใหญ่เบอร์ 4 ของโลกแล้ว

ส่วนคุณทิวา มองว่า Apple หลายปีที่ผ่านมา อาจไม่มีนวัตกรรมใหม่ เลยเปลี่ยนจากหุ้นเติบโต เป็นหุ้นแข็งแกร่ง
หรือมองอีกมุม ถ้าอันไหนทำแล้วไม่เวิร์ก ก็เลิกทำ อย่างเช่นโครงการรถไฟฟ้า ที่ Apple ตัดสินใจพับไป

ซึ่งคุณทิวา บอกว่า ถ้าสตีฟ จ็อบส์ มองลงมาที่ Apple ในวันนี้ เขาก็คงอาจผิดหวังนิดหน่อย..

มาฝั่ง Xiaomi คู่เทียบ Apple

จุดแข็งของ Xiaomi คือการสะท้อน DNA ความเป็นจีน ได้แก่ การผลิตบนต้นทุนที่ต่ำ และมีการพัฒนา Product ต่าง ๆ เร็วมาก ทั้งการเปิดตัวรถยนต์ EV ไปจนถึง Humanoid น่าจะเติบโตเร็วกว่า Apple

ซึ่ง Xiaomi มีอีกหนึ่งความได้เปรียบคือ ซัปพลายเชนต่าง ๆ ในจีน ค่อนข้างครบครัน ต่างกับคู่แข่งจากฝั่งอเมริกา โดยเฉพาะพวกวัสดุต่าง ๆ

คู่ที่สอง.. Tesla VS BYD

คุณทิวา มองว่า BYD ยังคงเติบโต และเป็นบริษัทที่คิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ ได้สูง แม้อาจยังมีการตั้งคำถามอยู่บ้าง

ตัวอย่างเช่น มีการทำระบบกลับรถอัจฉริยะ มีการนำ DeepSeek AI มาใช้ในระบบขับขี่

การเติบโตต่อไปของ BYD จุดหนึ่งที่ทำได้ดี คือการไปเติบโตต่างประเทศ ที่หลายประเทศได้รับการตอบรับที่ดี

แต่บริษัทมีความเสี่ยงคือ มีหนี้ระยะสั้นมาก เป็นลบต่อสภาพคล่อง
ประกอบกับภาคอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า น่าจะแข่งขันกันดุเดือดขึ้นใน 1-2 ปีนี้ ซึ่งอาจมีสงครามราคาเกิดขึ้นอยู่

ฝั่ง Tesla คุณยศพนธ์ มองว่า อีลอน มัสก์ เป็นคนมี Visionaries อยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา ธุรกิจมี Gross Margin ที่ลดลงมาเรื่อย ๆ
แต่มูลค่าบริษัทวันนี้คือ สะท้อนภาพธุรกิจในอนาคต

โดย Tesla เป็นบริษัทหนึ่งที่มุ่งทำ Robotaxi และ Humanoid
แต่ตรงนี้มีมุมความเสี่ยง ว่าจะทำได้ตามแผนที่วางไว้ได้หรือไม่..

สำหรับหุ้นตัวอื่น ๆ ใน Magnificent 7 และ Terrific 10
เช่น Amazon VS Alibaba
Google VS Baidu
Meta VS Tencent

คุณยศพนธ์ และคุณทิวา มีมุมมองอย่างไร แล้วใครแข็งแกร่งกว่ากัน ?

และถ้ามองไปอีก 10 ปี หุ้น 7 นางฟ้า VS หุ้นจีนทศเทพ ตัวไหนยังอยู่ ตัวไหนจะหายไป ?

มาหาคำตอบกันต่อได้ที่ RERUN BEAT THE MARKET

บัตร RERUN BEAT THE MARKET เปิดจองแล้ว มีจำนวนจำกัด จองบัตรได้ที่ https://www.zipeventapp.com/e/BEAT-THE-MARKET-2025

#ลงทุนแมน #BeatTheMarket