
เส้นทางชีวิต ดร.นิเวศน์ บิดาแห่งการลงทุน แบบเน้นคุณค่าของไทย
เส้นทางชีวิต ดร.นิเวศน์ บิดาแห่งการลงทุน แบบเน้นคุณค่าของไทย /โดย ลงทุนแมน
“ผมเป็นคนที่ไม่มีสิทธิ์เลือก เพราะช่วงหนึ่งในชีวิต ผมแทบไม่มีอะไรติดตัวเลย”
ประโยคหนึ่งที่พูดโดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนผู้บุกเบิกวิธีการลงทุนแบบเน้นคุณค่าเป็นบุคคลแรก ๆ ของประเทศไทย
“ผมเป็นคนที่ไม่มีสิทธิ์เลือก เพราะช่วงหนึ่งในชีวิต ผมแทบไม่มีอะไรติดตัวเลย”
ประโยคหนึ่งที่พูดโดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนผู้บุกเบิกวิธีการลงทุนแบบเน้นคุณค่าเป็นบุคคลแรก ๆ ของประเทศไทย
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า คือการวิเคราะห์คุณภาพของกิจการ และเข้าซื้อในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง ซึ่งในสมัยก่อน คนไทยยังไม่นิยมการลงทุนแบบนี้เท่าใดนัก คนส่วนใหญ่จะคิดว่าหุ้นเป็นเหมือนการพนัน ที่มีราคาขึ้นลง ซื้อขายด้วยการเสี่ยงดวง
ดร.นิเวศน์ เป็นผู้บุกเบิกและให้แนวคิดว่าการซื้อหุ้นก็เหมือนการมีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของกิจการ โดยได้เขียนหนังสือชื่อว่า “ตีแตก” ในปี พ.ศ. 2542 ซึ่งท้าทายความเชื่อของคนในสมัยนั้นมาก เพราะเป็นเวลาเพียง 2 ปี หลังจากวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งในประเทศไทย และทุกคนได้รับผลขาดทุนจากการลงทุนในหุ้นกันถ้วนหน้า
อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจไม่รู้ว่า กว่าที่ ดร.นิเวศน์ จะกลายมาเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จอย่างวันนี้ ชีวิตเขาผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย
แล้วชีวิตของ ดร.นิเวศน์ ที่ผ่านมาเป็นอย่างไร
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เกิดปี พ.ศ. 2496 ในครอบครัวที่มีพ่อแม่เป็นชาวจีนอพยพมาเมืองไทย โดยพ่อแม่ทำอาชีพก่อสร้าง
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เกิดปี พ.ศ. 2496 ในครอบครัวที่มีพ่อแม่เป็นชาวจีนอพยพมาเมืองไทย โดยพ่อแม่ทำอาชีพก่อสร้าง
สมัยที่ ดร.นิเวศน์ ยังเด็ก ครอบครัวของเขามีฐานะยากจน แต่สิ่งนี้ก็ได้สร้างนิสัยที่ติดตัวเขามาตลอดจนทุกวันนี้ ซึ่งก็คือ ความประหยัด ระมัดระวังการใช้จ่าย
อีกเรื่องที่ถือว่าเป็นจุดเด่นของ ดร.นิเวศน์ คือการเรียน เขาเคยบอกว่า จริง ๆ แล้วทรัพย์สินที่มีมูลค่ามหาศาลที่สุดสำหรับมนุษย์คือ “การศึกษา” เพราะนี่คือ สิ่งที่สามารถเปลี่ยนชีวิตความเป็นอยู่ให้กับหลายคน โดยเฉพาะสำหรับคนที่มีต้นทุนในชีวิตไม่สูงอย่างตัวเขา
ด้วยความที่เป็นคนเรียนดี เขาสอบติดคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
หลังจากเรียนจบ ตัวเขาไปเริ่มทำงานที่โรงงานน้ำตาลในต่างจังหวัด ซึ่งงานวิศวกรในสมัยนั้นถือว่าเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยกำลังเติบโต
หลังจากเรียนจบ ตัวเขาไปเริ่มทำงานที่โรงงานน้ำตาลในต่างจังหวัด ซึ่งงานวิศวกรในสมัยนั้นถือว่าเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยกำลังเติบโต
สาเหตุสำคัญที่เขาเลือกไปทำงานต่างจังหวัด เพราะเขาเชื่อว่าจะช่วยทำให้เก็บเงินได้เร็วขึ้น เพราะนอกจากเงินเดือนแล้ว ยังมีค่าล่วงเวลา มีอาหาร และที่พัก ที่บริษัทจัดหาให้
ด้วยนิสัยที่เป็นคนประหยัดมาตั้งแต่เด็ก ทำให้พอมีเงินเก็บจากการทำงานบ้าง บางส่วนส่งให้ที่บ้าน และบางส่วนถูกนำไปลงทุน ซึ่งการลงทุนที่ว่าคือ การศึกษาต่อในระดับปริญญาโท และปริญญาเอก
โดยเฉพาะช่วงระหว่างไปเรียนต่อปริญญาเอกด้านการเงิน ที่สหรัฐอเมริกานั้น ดร.นิเวศน์ ก็ไม่ได้มีเงินติดตัวมากนัก ทำให้ตัวเขาต้องทำงานด้วยการเป็นอาจารย์ผู้ช่วยสอน เมื่อรวมกับการที่ได้รับทุน จึงช่วยให้เขาประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้มากพอสมควร
หลังเรียนจบกลับมา ดร.นิเวศน์ เข้ามาทำงานในสถาบันการเงินได้ประมาณ 10 ปี
และในปี พ.ศ. 2540 ชีวิตต้องพบจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ ด้วยการถูกเชิญออกจากงาน ในวัย 42 ปี.. จากผลกระทบของวิกฤติต้มยำกุ้ง
และในปี พ.ศ. 2540 ชีวิตต้องพบจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ ด้วยการถูกเชิญออกจากงาน ในวัย 42 ปี.. จากผลกระทบของวิกฤติต้มยำกุ้ง
การตกงานพร้อมด้วยภาระครอบครัว จากการมีลูกที่ยังเรียนอยู่ และภรรยาที่ต้องดูแล ทำให้เขาต้องวางแผนชีวิตใหม่ เพื่อให้ครอบครัวอยู่รอด
แต่นั่นคือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตของ ดร.นิเวศน์
ดร.นิเวศน์ กล้านำเงินที่สะสมมาตั้งแต่ทำงาน ทั้งหมด 10 ล้านบาท มาลงทุนในหุ้นที่มีราคาลดลงมาเยอะมากในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ แต่เขาวิเคราะห์ดีแล้วว่า ตัวธุรกิจได้รับผลกระทบน้อย ที่สำคัญ ยังสามารถจ่ายเงินปันผลได้
ดร.นิเวศน์ กล้านำเงินที่สะสมมาตั้งแต่ทำงาน ทั้งหมด 10 ล้านบาท มาลงทุนในหุ้นที่มีราคาลดลงมาเยอะมากในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ แต่เขาวิเคราะห์ดีแล้วว่า ตัวธุรกิจได้รับผลกระทบน้อย ที่สำคัญ ยังสามารถจ่ายเงินปันผลได้
ช่วงเวลานั้น ตัวเขาเองบอกว่า ตอนที่ลงทุนก็ไม่เคยคิดว่าจะต้องรวย ขอเพียงแค่ให้มีเงินปันผล ที่สามารถนำมาใช้จ่ายและเลี้ยงดูครอบครัวได้ก็พอแล้ว
โดยแก่นแท้ในการลงทุนของตัวเขาคือ การซื้อหุ้นให้เปรียบเสมือนการทำธุรกิจ เพราะจะทำให้เราเลือกลงทุนอย่างระมัดระวัง ไม่หวั่นไหว และมั่นคงกับหุ้นที่เราลงทุน
จากวันที่ ดร.นิเวศน์ ตกงาน ผ่านมา 25 ปี วันนี้พอร์ตการลงทุนของ ดร.นิเวศน์ เติบใหญ่จนมีมูลค่าหลายพันล้านบาท
ตัวอย่างหุ้นที่ ดร.นิเวศน์ และครอบครัว ถือจนติดรายชื่อเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เช่น
CPALL จำนวน 45 ล้านหุ้น มูลค่ารวม 2,340 ล้านบาท
TCAP จำนวน 30 ล้านหุ้น มูลค่ารวม 1,470 ล้านบาท
QH จำนวน 400 ล้านหุ้น มูลค่ารวม 624 ล้านบาท
BCP จำนวน 10 ล้านหุ้น มูลค่ารวม 382 ล้านบาท
MC จำนวน 10 ล้านหุ้น มูลค่ารวม 100 ล้านบาท
BCPG จำนวน 13.5 ล้านหุ้น มูลค่ารวม 76 ล้านบาท
TCAP จำนวน 30 ล้านหุ้น มูลค่ารวม 1,470 ล้านบาท
QH จำนวน 400 ล้านหุ้น มูลค่ารวม 624 ล้านบาท
BCP จำนวน 10 ล้านหุ้น มูลค่ารวม 382 ล้านบาท
MC จำนวน 10 ล้านหุ้น มูลค่ารวม 100 ล้านบาท
BCPG จำนวน 13.5 ล้านหุ้น มูลค่ารวม 76 ล้านบาท
ซึ่งเฉพาะเงินปันผลของหุ้นเหล่านี้ ที่จ่ายจากผลกำไรในปี พ.ศ. 2567
ดร.นิเวศน์ และครอบครัว ได้เงินปันผลรวมกันทั้งหมดกว่า 227 ล้านบาท
ดร.นิเวศน์ และครอบครัว ได้เงินปันผลรวมกันทั้งหมดกว่า 227 ล้านบาท
แต่ต้องบอกว่า นี่ยังไม่รวมมูลค่าหุ้นในต่างประเทศของ ดร.นิเวศน์
โดยที่ผ่านมา ดร.นิเวศน์ ได้หันไปลงทุนในเวียดนามมากขึ้น และปรับลดสัดส่วนพอร์ตหุ้นไทยลง
โดยที่ผ่านมา ดร.นิเวศน์ ได้หันไปลงทุนในเวียดนามมากขึ้น และปรับลดสัดส่วนพอร์ตหุ้นไทยลง
และ ดร.นิเวศน์ ตั้งเป้าไว้ว่า จะปรับสัดส่วนพอร์ตหุ้น ให้เป็น 3 ส่วน ส่วนละเท่า ๆ กัน ก็คือ หุ้นไทย, หุ้นเวียดนาม และหุ้นโลก
ทั้งนี้ หนึ่งในข้อคิดที่ ดร.นิเวศน์ เคยพูดก็คือ หุ้นในตลาดหลักทรัพย์นั้นมีหลายตัว ซึ่งแน่นอนว่าแม้ตัวเขาจะเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า เขาจะเข้าใจและรู้จักหุ้นทุกตัวในตลาดหลักทรัพย์ไปหมด
ถ้าเขาวิเคราะห์ดูแล้วว่า เขาไม่รู้ว่าบริษัททำธุรกิจอะไร เขาจะไม่พยายามไปสนใจ หรือเสียเวลาทุ่มเทกับสิ่งเหล่านั้นมาก เพราะจะทำให้เราพลาดได้
เรื่องราวความสำเร็จของ ดร.นิเวศน์ เราอาจนำมาปรับใช้กับการใช้ชีวิต
ในความเป็นจริงนั้น ชีวิตของคนอาจมีเรื่องราวต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย แต่เราเคยถามตัวเองไหมว่า สิ่งไหนที่ “สำคัญ” และสิ่งไหนที่ “ไม่สำคัญ” กับชีวิตเรา
ในความเป็นจริงนั้น ชีวิตของคนอาจมีเรื่องราวต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย แต่เราเคยถามตัวเองไหมว่า สิ่งไหนที่ “สำคัญ” และสิ่งไหนที่ “ไม่สำคัญ” กับชีวิตเรา
อย่างกรณีของ ดร.นิเวศน์ นั้น เขาเชื่อว่า การศึกษา การหาความรู้ คือสิ่งสำคัญ
แม้ว่าช่วงที่เขาแทบจะไม่ค่อยมีเงินมากนัก แต่ตัวเขาก็ยังนำเงินไปลงทุนศึกษาหาความรู้ เพราะเขาเชื่อว่า นั่นคือสิ่งสำคัญที่จะช่วยเปลี่ยนชีวิตตัวเองให้ดีขึ้นในอนาคต ซึ่งมันก็เป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จอย่างวันนี้
วันนี้เราลองมานั่งคิดทบทวนว่า
ในชีวิตเรานั้นมีเรื่องอะไรบ้างที่สำคัญ ๆ
แล้วพยายามทุ่มเท ให้เวลากับสิ่งเหล่านั้นให้มาก
ในชีวิตเรานั้นมีเรื่องอะไรบ้างที่สำคัญ ๆ
แล้วพยายามทุ่มเท ให้เวลากับสิ่งเหล่านั้นให้มาก
จริง ๆ แล้วความสำเร็จมันอาจจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
หากแต่เป็นสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ “ในวันนี้”
หากแต่เป็นสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ “ในวันนี้”
โดย ดร.นิเวศน์ คือหนึ่งในวิทยากร ที่จะมาถ่ายทอดประสบการณ์ และปรัชญาการลงทุน ที่ตกผลึกได้มาทั้งชีวิต ที่งานสัมมนาครั้งใหญ่ของลงทุนแมน ชื่อ BEAT THE MARKET ในหัวข้อ “The Alpha Investor ตกผลึกความคิดนักลงทุนรุ่นใหญ่”
https://www.zipeventapp.com/e/BEAT-THE-MARKET-2025
https://www.zipeventapp.com/e/BEAT-THE-MARKET-2025
งานที่รวบรวมนักลงทุน และผู้เชี่ยวชาญชั้นนำในประเทศไทย มาแชร์แก่นแนวคิด วิธีพิชิตผลตอบแทนเหนือตลาด โดย Sessions ในงาน จะครอบคลุมตั้งแต่
- Alpha Stock Screening
กลยุทธ์ตามล่ากลุ่มหุ้น ผลตอบแทนเหนือตลาด
กลยุทธ์ตามล่ากลุ่มหุ้น ผลตอบแทนเหนือตลาด
- 10X Mastery
หลักการลงทุน พิชิตหุ้น 10 เด้ง
หลักการลงทุน พิชิตหุ้น 10 เด้ง
- The Master of Risk Management
ศาสตร์แห่งการบริหารความเสี่ยง
ศาสตร์แห่งการบริหารความเสี่ยง
- Independent Mind
คิดอย่างไร ให้ชนะตลาด
คิดอย่างไร ให้ชนะตลาด
- “MAGNIFICENT 7 vs TERRIFIC 10”
วิเคราะห์ กลุ่มหุ้นผู้ชนะของโลก 7 นางฟ้า vs ทศเทพ
วิเคราะห์ กลุ่มหุ้นผู้ชนะของโลก 7 นางฟ้า vs ทศเทพ
นอกจากนั้น ในงานก็จะมีการหยิบหุ้น Top Picks มาพูดคุย และปิดท้ายด้วยตะกอนความคิด จากนักลงทุนรุ่นใหญ่
ตัวอย่างรายชื่อวิทยากรในงาน BEAT THE MARKET
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร, นักลงทุนเน้นคุณค่า
คุณวิบูลย์ พึงประเสริฐ, นักลงทุนเน้นคุณค่า
คุณทิวา ชินธาดาพงศ์, นักลงทุนเน้นคุณค่า
คุณเฉลิมเดช ลีวงศ์เจริญ, นักลงทุนเน้นคุณค่า
คุณมานะชัย ตันติกาญจนากุล, นักลงทุนเน้นคุณค่า
คุณวีระพงษ์ ธัม, นักลงทุนเน้นคุณค่า
คุณยศพนธ์ สุธารัตนชัยพร, CFA, นักลงทุนเน้นคุณค่า
คุณชนาเมธ เฟื่องวรรธนะ, นักลงทุนเน้นคุณค่า
คุณเมธพนธ์ อมรธีรสรรค์, นักลงทุนเน้นคุณค่า
งาน BEAT THE MARKET เหมาะสำหรับนักลงทุนทุกคน ที่กำลังมองหาแนวคิดการลงทุน และหาโอกาสสร้างผลตอบแทนชนะตลาด
เวลา : วันเสาร์ที่ 26 เมษายน 2568 เวลา 10:30-18:00 น.
สถานที่ : พารากอน ซีนีเพล็กซ์ โรงภาพยนตร์สยามภาวลัย
สถานที่ : พารากอน ซีนีเพล็กซ์ โรงภาพยนตร์สยามภาวลัย
ใครไม่อยากพลาดไอเดียการลงทุน จากวิทยากรชั้นนำระดับประเทศ บัตรมีจำนวนจำกัด เปิดให้จองพร้อมกันที่ https://www.zipeventapp.com/e/BEAT-THE-MARKET-2025