คนที่ซื้อ Pepsi มาปั้นจนสำเร็จ แต่สุดท้าย ไม่ได้เป็นเจ้าของ

คนที่ซื้อ Pepsi มาปั้นจนสำเร็จ แต่สุดท้าย ไม่ได้เป็นเจ้าของ

คนที่ซื้อ Pepsi มาปั้นจนสำเร็จ แต่สุดท้าย ไม่ได้เป็นเจ้าของ /โดย ลงทุนแมน
- รู้ไหมว่า Pepsi เคยล้มละลาย 2 ครั้ง แต่ครั้งสุดท้าย ได้ชายที่ชื่อว่าคุณ Charles Guth มาพลิกสถานการณ์
เขาควักเงิน 7 ล้านบาท ร่วมลงทุน และพา Pepsi รอดวิกฤติมาได้ แต่สุดท้ายเขากลับเสียบริษัทที่ปั้นมากับมือไปหมด แบบไม่เหลืออะไรเลย..
แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ?
ทำไมคุณ Charles Guth ถึงเสีย Pepsi ไปทั้งหมด
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
ติดตามข่าวเศรษฐกิจแบบเน้น ๆ จากหลายเพจได้ใน Blockdit - คอนเทนต์แพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานเป็นประจำ 2 ล้านคน ลองใช้ฟรี blockdit.com/download
╚═══════════╝
คุณ Charles Guth เกิดที่เมืองฟิลาเดลเฟีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี 1877 หรือราว 148 ปีก่อน
ในวัยแค่ 14 ปี เขาได้เริ่มการทำงานเป็นลูกจ้างร้านลูกกวาดเล็ก ๆ ก่อนที่จะเริ่มเปิดร้านลูกกวาดของตัวเอง ตอนอายุแค่ 23 ปีเท่านั้น
ต่อมาพออายุ 24 ปี ก็ได้ก่อตั้งบริษัทช็อกโกแลตของตัวเองขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม ด้วยการขยายกิจการที่ไวเกินไป
ทำให้บริษัทเริ่มมีปัญหา จนเขาต้องขายบริษัททิ้งไป
แม้เขาจะยังทำธุรกิจของหวานไม่ประสบความสำเร็จ
แต่ก็ยังคงโลดแล่นในวงการของหวานไปเรื่อย ๆ
จนสามารถไต่เต้าได้เป็นรองประธานบริษัท Loft ซึ่งในขณะนั้นเป็นบริษัทขนมหวานรายใหญ่ ที่มีเครือร้านขายขนมและน้ำอัดลมทั่วสหรัฐฯ เมื่อตอนอายุ 52 ปี ก่อนที่ปีถัดมา จะขึ้นเป็นประธานบริษัทแห่งนี้
และนี่คงจะเป็นจุดสูงสุดในเส้นทางของหวานของเขา ทำให้เขาเริ่มเบื่อกับอาชีพที่ทำ และอยากลองทำอะไรใหม่ ๆ บ้าง
และไม่นานโอกาสก็มาถึง ปี 1931 Pepsi ได้ล้มละลายเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งในขณะนั้นอยู่ในมือของคุณ Roy Megargel ที่ไม่ใช่คนคิดค้นสูตร
โดย Pepsi พยายามขายกิจการให้คู่แข่งอย่าง Coca-Cola ถึง 2 ครั้ง แต่ดีลล่มทั้งหมด
สุดท้ายจึงเป็นคุณ Guth ที่เข้าไปเจรจากับคุณ Megargel
เพื่อซื้อกิจการ Pepsi
ซึ่งดีลจบที่ว่า คุณ Guth ลงทุนใน Pepsi ในราคา 10,500 ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินปัจจุบัน หลังปรับเงินเฟ้อแล้วราว 7 ล้านบาท
โดยคุณ Guth และคุณ Megargel ถือหุ้นคนละ 100,000 หุ้นใน Pepsi
ส่วนที่เหลืออีก 100,000 หุ้น ก็ถือหุ้นโดย Pepsi เอง
และไม่ได้หมดแค่นี้ เพราะคุณ Guth ยังต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์หัวเชื้อให้คุณ Megargel ราว 860,000 บาทต่อปี
หลังตกลงกันแล้ว คุณ Guth ก็ลุยปั้น Pepsi เต็มที่
ด้วยการเอา Pepsi ไปขายแทน Coca-Cola ในร้านของ Loft เพื่อตอบโต้ Coca-Cola ที่ไม่ยอมลดราคาหัวเชื้อ
พอ Coca-Cola รู้เรื่องก็ไม่ยอมเลยฟ้อง Loft
ส่วนฝั่ง Loft ก็ฟ้องกลับว่า Coca-Cola กำลังแทรกแซงธุรกิจภายใน จนสุดท้ายคดีนี้ก็ถูกยกฟ้องไป
แม้เรื่องจะจบไป แต่สถานการณ์ของ Pepsi ก็ยังไม่ดีขึ้น
ประกอบกับ ปมขัดแย้งกันระหว่างคุณ Guth และคุณ Megargel เริ่มดุเดือดขึ้นเรื่อย ๆ
เพราะคุณ Guth ไม่เคยจ่ายค่าลิขสิทธิ์หัวเชื้อให้คุณ Megargel เลย ทั้งที่ผ่านมาเกือบ 2 ปีแล้ว
คุณ Guth จึงพยายามยืมมือของ Coca-Cola ให้ไปช่วยเจรจาเสนอซื้อ Pepsi เป็นครั้งที่ 3 ซึ่งสุดท้ายก็ไม่สำเร็จ

เรื่องนี้ถึงขั้นฟ้องร้องกัน จบลงด้วยการที่คุณ Guth ยอมจ่ายเงินจำนวนหนึ่งให้คุณ Megargel
และคุณ Megargel ยอมยกหุ้นของตัวเองให้กับคุณ Guth
ทำให้เขากลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Pepsi
หลังจัดการเรื่องคดีความเรียบร้อย แถมตอนนี้เขายังมีอำนาจควบคุมบริหาร Pepsi อย่างเต็มตัว
ดูเหมือนกำลังไปได้ดี แต่ตัดมาที่บริษัท Loft ที่คุณ Guth ยังเป็นประธานบริษัทอยู่ เจอกับปัญหารายได้ตกต่ำ เขาจึงแก้ปัญหาด้วยการลดเงินเดือนของคนงานลง
บรรดาคนงานต่างไม่พอใจ เลยออกมาประท้วงอย่างหนัก
จนคุณ Guth ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง พร้อมหันมาโฟกัสกับการบริหาร Pepsi แค่อย่างเดียว
เริ่มตั้งแต่การปรับหัวเชื้อให้หวานกว่าเดิม พร้อมออกขวดขนาด 12 ออนซ์ ในราคา 5 เซนต์ แข่งกับขวดขนาด 6 ออนซ์ ในตลาดที่ขายอยู่ในราคาเท่ากัน
พอขวดใหญ่กว่าในตลาด แถมขายราคาเท่ากัน
ทำให้ผู้บริโภคหันมาดื่ม Pepsi มากขึ้น เพราะรู้สึกถึงความคุ้มค่า ในยุคที่สหรัฐฯ กำลังเจอปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ
ซึ่งพอได้รับความนิยมสูงมาก คุณ Guth เลยต้องซื้อโรงงานบรรจุขวดเพิ่มเติม และให้สิทธิ์แฟรนไชส์บรรจุขวดในพื้นที่ต่าง ๆ แล้วค่อยเก็บค่าสิทธิ์ตรงนี้แทน
จนในปี 1936 หลังล้มละลายแค่ 5 ปี Pepsi ตอนนี้ขายได้ 500 ล้านขวด และมีกำไรกว่า 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินปัจจุบันหลังปรับเงินเฟ้อราว 1,600 ล้านบาท
ถึงตรงนี้ ก็ดูเหมือนว่า Pepsi สร้างผลตอบแทนหลายเท่าให้คุณ Guth มากมาย
แต่สุดท้าย ทำไมเขาถึงไม่ได้เป็นเจ้าของ Pepsi อีกต่อไป ?
เรื่องนี้เริ่มขึ้นเมื่อบริษัท Loft ได้ประธานคนใหม่อย่างคุณ Carkner มาบริหาร
ทำให้คุณ Guth ตกลงกับคุณ Carkner ว่าจะขายหุ้นของตัวเองในบริษัท Loft
โดย Loft ต้องจ่ายเงินให้เขา 600,000 ดอลลาร์สหรัฐ
ซึ่งถ้าคุณ Carkner ทำไม่ได้ ก็จะถูกบีบบังคับให้ลาออกจากประธานบริษัท
เพราะตอนนี้คุณ Guth ถือหุ้นใน Loft 20% และให้บริษัท Pepsi ของเขามาถือหุ้นเพิ่มเติมใน Loft อีก 15%
จนเหมือนว่าเขาถือหุ้นใหญ่ใน Loft มากถึง 35%
พอเป็นแบบนี้ ทำให้คุณ Carkner ตกที่นั่งลำบาก
เพราะต้องหาเงินมาซื้อหุ้นของคุณ Guth ให้ได้
แต่ปัญหาคือ ตัวบริษัท Loft เองก็ยังขาดทุนอยู่เลย การหาเงินมาซื้อหุ้นของคุณ Guth จึงเป็นไปได้ยาก
แม้หนทางจะดูมืดมน แต่สุดท้ายก็มีแสงสว่างเล็ก ๆ ที่มาช่วยคุณ Carkner เอาไว้ได้อย่างหวุดหวิด
ในตอนนั้น มีอดีตพนักงานของบริษัทมาบอกเขาว่า คุณ Guth มีการกู้ยืมจากบริษัทในเครือไป แต่ไม่ได้ลงบัญชีไว้
ทำให้คุณ Carkner ตัดสินใจไปปรึกษากับทนายในเรื่องนี้
ทนายเห็นว่า จริง ๆ เขาทำได้มากกว่าการเรียกร้องหนี้ ที่คุณ Guth ยืมไป แต่สามารถอ้างได้ว่า บริษัท Loft
ต่างหาก ที่เป็นเจ้าของ Pepsi ไม่ใช่คุณ Guth..
เพราะช่วงที่ผ่านมา คุณ Guth ใช้บริษัท Loft เป็นทางผ่าน
ในการปั้น Pepsi โดยที่ตัวเองไม่ได้แบกความเสี่ยงเลย
แต่เพื่อป้องกันไม่ให้คุณ Guth โหวตคุณ Carkner ออกจากบริษัทไปเสียก่อน ก็เลยขอให้ศาลสั่งห้ามไม่ให้นำหุ้นที่ Pepsi ถือใน Loft มาใช้ในการโหวตผู้ถือหุ้น
เรื่องนี้ดำเนินไป โดยสุดท้ายคุณ Carkner ยังอยู่ในบริษัท ส่วนคุณ Guth ยอมจ่ายหนี้ให้ Loft ผ่าน Pepsi จำนวน 395,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 13.6 ล้านบาทในตอนนั้น
แม้ดูเหมือนเรื่องจะจบ แต่ Loft ลากบริษัทการเงิน Phoenix เข้ามาช่วยถือหุ้นในบริษัท เพื่อคานอำนาจกับคุณ Guth เพื่อสู้คดีแย่งชิงความเป็นเจ้าของ Pepsi อย่างไม่ลดละ
ในที่สุดเมื่อปี 1939 คดีความก็ถึงชั้นศาลฎีกา เมื่อศาล
ฎีกาแห่งเดลาแวร์ตัดสินว่า คุณ Guth มีความผิดจริง ข้อหาเอาทรัพย์สินของบริษัทไปใช้ในประโยชน์ส่วนตัว
ตัวอย่างเช่น
- การเอาหัวเชื้อ Pepsi ไปใส่แทน Coca-Cola ในร้านอาหารเครือบริษัท Loft
- ตั้งบริษัทครอบครัว Grace Company ผสมไซรัปแล้วส่งไปที่เครือข่ายตู้น้ำอัดลมของ Loft
- ใช้คนงาน ทรัพยากร และเครือข่ายของบริษัท Loft ไปเพื่อการขยายธุรกิจ Pepsi ของตัวเอง
ดังนั้น หุ้น 91% ที่คุณ Guth ถืออยู่ใน Pepsi ผ่านบริษัทครอบครัวของตัวเอง ก็ให้ตกเป็นของบริษัท Loft แทน
ซึ่งมูลค่าหุ้นตรงนั้น คิดเป็นมูลค่าปัจจุบันหลังปรับเงินเฟ้อแล้วมากถึง 12,909 ล้านบาท
แต่คุณ Guth ยังได้เงินชดเชยกว่า 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ที่ส่วนใหญ่มาจากเงินปันผล Pepsi ที่เขาเคยได้รับ
คิดเป็นเงินปัจจุบันหลังปรับเงินเฟ้อแล้ว 2,360 ล้านบาท
พร้อมเงื่อนไขว่า คุณ Guth จะต้องไม่ทำธุรกิจน้ำอัดลมอีก 5 ปีถัดจากนี้ นับตั้งแต่ปี 1939 เป็นต้นไป
อย่างไรก็ตาม คุณ Guth ก็ไม่เคยเริ่มต้นทำธุรกิจน้ำอัดลมได้อีกเลย เพราะอีก 9 ปีถัดมา เขาก็ได้เสียชีวิตลงในวัย 70 ปี
ถึงแม้เขาไม่ได้เป็นเจ้าของ Pepsi อีกต่อไป และทำผิดจริง ในการเอาทรัพย์สินของบริษัท Loft ไปใช้ในการขยายกิจการของ Pepsi
อย่างไรก็ดี คุณ Guth ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้พลิกฟื้น Pepsi ที่เคยล้มละลาย 2 ครั้งให้กลับมาได้
ซึ่งต่อมา Loft ก็ตัดสินใจควบรวมกับ Pepsi หลังจากได้หุ้นมาจากคุณ Guth แล้ว
ก่อนสานต่อความยิ่งใหญ่ของ Pepsi มาถึงปัจจุบัน
กลายเป็นอาณาจักรเครื่องดื่มอันดับต้น ๆ ของโลก ที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้ Coca-Cola
แต่ก็น่าคิดเหมือนกันว่า ถ้า Coca-Cola รับข้อเสนอที่จะซื้อ Pepsi ที่เคยติดต่อมาถึง 3 ครั้ง
Coca-Cola ก็อาจเป็นบริษัทน้ำอัดลมเดียวที่แทบผูกขาดตลาดในปัจจุบัน..
╔═══════════╗
ติดตามข่าวเศรษฐกิจแบบเน้น ๆ จากหลายเพจได้ใน Blockdit - คอนเทนต์แพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานเป็นประจำ 2 ล้านคน ลองใช้ฟรี blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
TikTok - tiktok.com/@longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงทุนแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://time.com/archive/6820469/trade-loft-lift/
-https://papers.ssrn.com/sol3/papers.cfm?abstract_id=1414478
-https://en.wikipedia.org/wiki/Charles_Guth
-https://en.wikipedia.org/wiki/Loft,_Inc.
-https://www.historyoasis.com/post/charles-guth
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon