อธิบายสรุป DEATH LOOP (วงจรแห่งความตาย) ของการกู้เงินโดยเอาหุ้นไปค้ำประกัน
อธิบายสรุป DEATH LOOP (วงจรแห่งความตาย) ของการกู้เงินโดยเอาหุ้นไปค้ำประกัน /โดย ลงทุนแมน
- รู้ไหมว่า การกู้เงินด้วยการเอาหุ้นไปค้ำประกัน มีความเสี่ยงสำหรับผู้กู้ “มากกว่า” การเอาบ้านและที่ดินไปค้ำประกันมาก
- รู้ไหมว่า การกู้เงินด้วยการเอาหุ้นไปค้ำประกัน มีความเสี่ยงสำหรับผู้กู้ “มากกว่า” การเอาบ้านและที่ดินไปค้ำประกันมาก
การกู้เงินด้วยการใช้หุ้นเป็นหลักประกัน มีความเสี่ยงมากกว่าการใช้บ้านหรือที่ดินเป็นหลักประกัน เนื่องจาก “ความผันผวนของมูลค่า”
มูลค่าของหุ้นขึ้นอยู่กับราคาตลาดที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ซึ่งอาจลดลงอย่างรวดเร็วจากปัจจัยเศรษฐกิจ การบริหารของบริษัท หรือสถานการณ์ตลาดหุ้นโดยรวม
แต่บ้านและที่ดิน มูลค่าของอสังหาริมทรัพย์มีความผันผวนน้อยกว่า ซึ่งไม่ได้มีการ mark to market ราคาทุกวันเหมือนราคาหุ้น
ในบางช่วง ราคาบ้านหรือที่ดินอาจตกลงก็ได้ เพียงแต่ไม่ได้มีการซื้อขายมาอ้างอิงที่บอกว่าราคาตกลง
และนอกจากนั้นการบังคับขายหลักประกันก็ไม่เหมือนกัน..
หากราคาหุ้นลดลงต่ำกว่ามูลค่าที่กำหนดไว้ ผู้ให้กู้อาจขอให้คุณเพิ่มหลักประกัน หรือขายหุ้นทันทีเพื่อชดเชยหนี้ ซึ่งอาจทำให้คุณขาดทุนหนักหากราคาหุ้นอยู่ในช่วงขาลง
สำหรับบ้านหรือที่ดิน ธนาคารจะบังคับขายหลักประกันต่อเมื่อคุณไม่สามารถชำระหนี้ได้ แต่โอกาสที่ราคาหลักประกันจะลดลง แล้วถูกธนาคารบังคับขายหลักประกันจะมีน้อยมาก
- วงจรแห่งความตาย ของการโดนบังคับขาย (Spiral Loop for Forced Sell)
วงจรบังคับขาย คือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตลาดการเงินเมื่อหุ้นที่ใช้เป็นหลักประกัน มีมูลค่าลดลง จนเกิดการบังคับขาย (Forced Sell) ซึ่งส่งผลให้ราคาลดลงต่อเนื่องและสร้างวงจรความสูญเสียแบบทวีคูณ
กระบวนการของวงจรบังคับขาย
1. มูลค่าของสินทรัพย์ลดลง
สินทรัพย์ที่ใช้เป็นหลักประกัน เช่น หุ้น มีมูลค่าลดลงต่ำกว่าระดับที่ผู้ให้กู้กำหนด (Margin Maintenance Level)
ทำให้นักลงทุนต้องเผชิญกับ Margin Call ซึ่งเป็นคำเตือนให้เพิ่มเงินสด หรือหลักประกันเพิ่ม
2. ขายหลักประกัน (Forced Sell)
หากนักลงทุนไม่สามารถเพิ่มหลักประกันหรือชำระเงินได้ทันเวลา ผู้ให้กู้จะขายหุ้นหรือสินทรัพย์ที่ใช้เป็นหลักประกันโดยอัตโนมัติเพื่อชดเชยความเสี่ยง
3. ราคาตกต่อเนื่อง
การขายหลักประกันในปริมาณมาก กดดันให้ราคาสินทรัพย์ลดลงไปอีก ส่งผลให้นักลงทุนคนอื่นที่ถือสินทรัพย์เดียวกันต้องเจอกับ Margin Call เพิ่มเติม
4. วงจรซ้ำ (Feedback Loop)
ราคาสินทรัพย์ที่ลดลงต่อเนื่อง ทำให้เกิด Forced Sell ซ้ำไปเรื่อย ๆ นำไปสู่ความสูญเสียอย่างรุนแรงในตลาดและอาจสร้างความตื่นตระหนก (Panic Selling) ทั่วตลาด
ตัวอย่างสถานการณ์
1. นักลงทุนซื้อหุ้นมูลค่า 1 ล้านบาท โดยใช้เงินสด 500,000 บาท และเงินกู้มาร์จิ้นอีก 500,000 บาท (อัตรา LTV 50%)
2. ราคาหุ้นลดลง 20% ทำให้มูลค่าพอร์ตลดเหลือ 800,000 บาท
3. ธนาคารกำหนดว่าต้องมีมาร์จิ้นขั้นต่ำ 25% ของมูลค่าหุ้น นักลงทุนจึงต้องเพิ่มหลักประกัน 100,000 บาท หรือโบรกเกอร์จะขายหุ้นมูลค่าเทียบเท่าออกไป
4. การขายหุ้นทำให้ราคาหุ้นในตลาดลดลงต่อเนื่อง
5. นักลงทุนคนอื่น ๆ ที่ถือหุ้นเดียวกันอาจเจอ Margin Call เช่นกัน และถูกบังคับขายเพิ่ม
6. ราคาหุ้นดิ่งลงจนเกิด วงจรบังคับขาย ต่อเนื่อง
แล้วเราจะหนีความเสี่ยงและมีวิธีหลีกเลี่ยงอย่างไร ?
1. หลีกเลี่ยงการใช้มาร์จิ้นเกินตัว ใช้การกู้ยืมอย่างระมัดระวัง และเตรียมเงินสำรองไว้รับมือกับความผันผวนของตลาด
2. กระจายการลงทุน (Diversification) ไม่ถือสินทรัพย์หรือหุ้นตัวเดียวมากเกินไป เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนในสินทรัพย์เดียว
3. ติดตามตลาดและหลักประกันอย่างใกล้ชิด คอยตรวจสอบมูลค่าหลักประกันที่เป็นหุ้นและการเปลี่ยนแปลงของตลาด เพื่อวางแผนรับมือก่อนเกิดสถานการณ์บังคับขาย
สรุป
วงจรบังคับขาย เกิดจากการลดลงของราคาสินทรัพย์ที่ใช้เป็นหลักประกัน ซึ่งส่งผลให้เกิดการขายหลักประกันซ้ำ ๆ จนราคาดิ่งลงอย่างรุนแรง
ความเสี่ยงจากการใช้หุ้นเป็นหลักประกันส่วนใหญ่เกิดจาก ความผันผวนสูง และความไม่แน่นอนของตลาด ซึ่งแตกต่างจากบ้านและที่ดินที่มีมูลค่าคงที่
ดังนั้น “การใช้หุ้นเป็นหลักประกันเหมาะสำหรับผู้ที่สามารถรับมือกับความเสี่ยง และมีแผนการเงินที่รอบคอบเท่านั้น”
ไม่เช่นนั้น กว่าจะรู้ตัวอีกที คุณก็อาจจะตกอยู่ใน DEATH LOOP เป็นที่เรียบร้อยแล้ว..